14 ก.ย. 65 นพ.เอกภพ เพียรวิเศษ ส.ส. พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการการสาธารณสุข โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กระบุ
ตีความแล้ว ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าจับ ปรับไม่ได้ !!!!
คณะอนุกรรมาธิการศึกษาเรื่องปัญหาการควบคุมการบริโภคยาสูบ ได้เชิญผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ผู้แทนจากสำนักงานอัยการสูงสุด มาร่วมพิจารณาข้อกฏหมายในประเด็น “ผู้มีบุหรี่ไฟฟ้าในครอบครองเพื่อสูบ ผิดมั้ย?”
เพราะการแบนที่เป็นอยู่เป็นเหมือนการ “แบนทิพย์” มีบุหรี่ไฟฟ้าขายและใช้กันทั่ว ในแบบที่ควบคุมการเข้าถึงของเยาวชนไม่ได้เลย และยังควบคุมคุณภาพของบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้เลย
การอ้างว่าแบนแล้วปกป้องเยาวชนนั้น เป็นการปกป้องเยาวชนจริงหรือ ?!!!!
หรือปกป้องผลประโยชน์ของใคร ที่เห็นทุ่มงบประมาณโฆษณาต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้า ทำสื่อต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้า จัดงานต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้า ไม่รู้ว่ามีเงินทอนเข้ากระเป๋าใคร เท่าไหร่บ้าง
ในการประชุม ได้ดูกฏหมาย พรบ.ศุลกากร 2560 โดยมาตราที่เวลาจับกุมจะแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตร 246 ใน พรบ. นี้
หมายถึงมีการเอาของที่ทำตามความผิดตามาตรา 242 ไปใช้ ไปขาย ไปครอบครอง โดยมีการเขียนความผิดไว้ตอนหนึ่งว่า
“หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว”
ตีความได้ว่า…. ของที่เป็นความผิดตามมาตรานี้ต้องเป็นสินค้าที่มีการคิดภาษีศุลกากรได้ แต่บุหรี่ไฟฟ้ามีประกาศห้ามนำเข้า จึงคิดภาษีไม่ได้ !!!!
แสดงว่าสินค้าที่ห้ามนำเข้า จะใช้มาตรานี้ดำเนินคดีไม่ได้
และ เมื่อดูต่อไปที่ มาตรา 242
ได้เขียนไว้ว่า “ของที่ยังมิได้ผ่านกระบวนการศุลกากร”
และในส่วนของค่าปรับก็เขียนไว้ให้รวมอากรเหมือนกับมาตรา 246
แสดงว่า ความผิดตามมาตรนี้ต้องเป็นของที่ควรเสียภาษี ต้องผ่านพิธีการศุลกากรแต่มีการลักลอบนำเข้าไม่เสียภาษี
ใน พรบ.ศุลกากร ฉบับนี้ต่างกับฉบับเก่าตรงที่ตัดคำว่า “ของต้องห้าม” ออกไปจากมาตรานี้
คำถามต่อไป คือ จะตีความแบบกว้างให้ครอบคลุมของต้องห้ามไปด้วยได้มั้ย เป็นไปได้มั้ยที่เจตนารมณ์ตอนออกกฏหมายตั้งใจแบบนั้น
แต่พอไปดูใน คำนิยาม ของ พรบ. จะพบว่ามีการให้นิยามของ “ของต้องห้าม หมายความว่า ของที่มีกฏหมายกำหนดห้ามมิให้นำเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร หรือนำผ่านราชอาณาจักร”
แสดงว่า พรบ. นี้มีคำว่า ของต้องห้าม แต่ตอนเขียนกฏหมายผ่านสภาตั้งใจจะไม่ใส่คำนี้ไว้ในมาตรานี้
ดังนั้น การมีของต้องห้าม ในครอบครองจึงไม่ผิดตามมาตรา 246 และ 242 ของ พรบ.ศุลกากร 2560
แล้วมาดูกันต่อว่า #บุหรี่ไฟฟ้า เป็นของต้องห้ามมั้ย?
ก็มีประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง สินค้าต้องห้ามผ่านราชอาณาจักร พ.ศ. 2559 ที่มีรายการลำดับที่ 3 ในบัญชีแนบท้ายประกาศ เขียนไว้ว่า บารากู่ บารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ไฟฟ้า
แสดงว่า บุหรี่ไฟฟ้า เป็นของต้องห้าม ตามนิยามใน พรบ. ศุลกากร 2560
สรุป…. เมื่อพิจารณากฏหมายร่วมกันแล้วที่ประชุมและตัวแทนหน่วยงานมีความเห็นตรงกันว่า จะจับกุมดำเนินคดีกับผู้ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าที่ไม่ใช่ผู้ขาย ไม่ได้ !!!!!!
ขั้นตอนต่อไป ทางกรรมาธิการจะส่งข้อมูลไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้หน่วยงานมีความเห็นอีกครั้ง แล้วถ้าเห็นด้วยก็จะมีการส่งหนังสือเวียนให้รับทราบทั่วกัน
ถ้ายังมีการจับกุมดำเนินคดีอีกก็น่าจะเข้าข่าย แจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินคดีโดยมิชอบได้
นี่เป็นหลักฐานว่า เราจะคิดแต่จะแบนบุหรี่ไฟฟ้า ที่เป็น “แบนทิพย์” ต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะการแบนแบบนี้นอกจากจะไม่คุ้มครองการเข้าถึงของเยาวชน ไม่คุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค แล้วยังอาจจะเอื้อต่อกลุ่มผลประโยชน์ทับซ้อนที่หากินกับการแบนบุหรี่ไฟฟ้าอีก
ไม่รู้ว่าจริงแล้วนอกจากคนกลุ่มนี้จะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ในงบประมาณรณรงค์ต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้า จะยังมีความเกี่ยวพันกับผลประโยชน์จากธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า และ บุหรี่ลักลอบนำเข้าที่ถูกทำให้อยู่ใต้ดินตรวจสอบไม่ได้หรือไม่




ร่วมแสดงความคิดเห็น