ชาวภูมิแพ้เคยเบื่อกันบ้างไหม เจอกับภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยทีไร เป็นต้องเคืองตา คันจมูก น้ำมูกน้ำตาไหล แถมโรคภูมิแพ้อากาศยังพ่วงมาด้วยอาการทางผิวหนัง อย่างการเป็นผื่นคันหรือลมพิษขึ้นแทบจะทุกที วันนี้เราจะไปเจาะลึกโรคภูมิแพ้อากาศกับผิวหนังกันว่าเกิดจากอะไร แล้วเราจะรับมือโรคนี้ได้อย่างไรบ้าง!

โรคภูมิแพ้อากาศที่ทำให้ผิวหนังเป็นผื่นคันและลมพิษ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือ Allergic Rhinitis จัดเป็นโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยที่สุดในคนไทย หรือสูงถึงร้อยละ 60 ซึ่งโรคนี้จะทำให้เนื้อเยื่อจมูกอักเสบเรื้อรัง เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ในอากาศ แบ่งเป็น 2 แบบด้วยกัน ได้แก่
- ภูมิแพ้อากาศตามฤดูกาล (Seasonal Allergic Rhinitis) ซึ่งสารก่อภูมิแพ้จะเกิดขึ้นหรือฟุ้งกระจายในอากาศเพิ่มขึ้นในบางฤดูกาล ขึ้นอยู่กับว่าคุณแพ้อะไร และในฤดูการนั้นสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างไร เช่น ฤดูใบไม้ผลิในต่างประเทศ ดอกไม้จะออกดอกมากเป็นพิเศษ ทำให้เกสรดอกไม้ฟุ้งกระจายในอากาศเพิ่มขึ้น คนที่แพ้เกสรดอกไม้ก็อาจจะมีอาการแพ้เกิดขึ้นได้
- ภูมิแพ้อากาศตลอดทั้งปี (Perennial Allergic Rhinitis) เกิดจากสภาพแวดล้อมที่มีอยู่ในทุกฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็นไรฝุ่น เชื้อรา ขนสุนัข ขนแมว แมลงสาบ และปัจจัยอื่น ๆ
ภูมิแพ้อากาศก่อให้เกิดผื่นแบบไหนบนผิวหนัง?
ผื่นผิวหนังเกิดได้หลายสาเหตุ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอาการแบบนี้เป็นอาการของโรคแพ้อากาศ? เราสามารถแยกผื่นจากการแพ้อากาศออกจากผื่นประเภทอื่น ๆ ด้วยตัวเองได้ง่าย ๆ ดังนี้
- เป็นผื่นแดง ทำให้ผิวแห้งเป็นขุย
- มีอาการคันยุบยิบ
- เป็น ๆ หาย ๆ ไม่ได้ขึ้นตลอดเวลา
- ผื่นจะคันมากยิ่งขึ้นเมื่อเหงื่อออก
- ยิ่งเกาก็จะยิ่งรู้สึกคันมากกว่าเดิม
- หากเป็นผื่นจากการแพ้อากาศเรื้อรัง ผิวหนังจะหนาขึ้นและมีรอยคล้ำ
- มักพบในผิวบริเวณแก้ม คอ ข้อพับแขน และขา
สำหรับคนที่กำลังสงสัยว่าเป็นโรคภูมิแพ้อากาศ ทำให้ผิวหนังเป็นผื่นคัน ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคและทำการรักษาให้ถูกต้อง โดยแพทย์มักใช้วิธีตรวจวินิจฉัย 3 วิธี คือ
- การทดสอบภูมิแพ้โดยการสะกิดผิวหนัง (Skin Prick Test)
- การทดสอบการแพ้อาหาร โดยการให้ทานอาหารที่สงสัย (Oral Food Challenge Test)
- การตรวจภูมิแพ้ด้วยการเจาะเลือด (Allergy Blood Test)
เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองแพ้อะไร ก็ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีสารก่อให้เกิดภูมิแพ้ชนิดนั้นๆ ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หมั่นออกกำลังกาย รักษาสุขภาพจิตให้สดชื่นแจ่มใส และนอนพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ ทำความสะอาดร่างกายและล้างมือเป็นประจำ ทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และพกยาติดตัวอยู่เสมอเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

ร่วมแสดงความคิดเห็น