กำเนิด กี่เพ้า นั้น เริ่มมาตั้งแต่สมัยที่แมนจูปกครองประเทศจีน ในสมัยราชวงศ์ชิง คนแมนจูกลายเป็นชนชั้นสูงในสังคม ผู้หญิงแมนจูมักจะใส่ชุดเดรสชิ้นเดียว ซึ่งแต่เดิม เป็นชุดที่ใช้ในชีวิตประจำวันของชาวแมนจูทั้งชายและหญิง คล้ายกับ กี่เพ้า ใช้ผ้าคล้ายๆกัน แต่เรียกว่า ChangPao

ตำนานเกี่ยวกับกี่เพ้า
มีตำนานเกี่ยวกับ กี่เพ้า เล่าไว้ว่า มีหญิงสาวชาวประมงคนหนึ่ง อาศัยอยู่บริเวณทะเลสาป จิงโป นอกจากจะเป็นคนสวยแล้ว ยังเป็นหญิงสาวที่มีความฉลาดและเก่งมากอีกด้วย แต่ทุกครั้งที่เธอออกหาปลา เธอมักรู้สึกขัดใจกับชุดที่ยาวและลุ่มล่ามของเธอ เธอจึงคิดว่า น่าจะออกแบบชุดเดรสที่เหมาะกับการหาปลาของเธอมากกว่านี้ เธอจึงออกแบบให้มีลักษณะคล้ายเสื้อคลุมยาว ติดกระดุมเป็นแถวที่สามารถปิดที่ด้านหน้าได้ นั่นทำให้งานของเธอง่ายขึ้นเยอะ
ขณะเดียวกัน จักรพรรดิหนุ่มของจีนในเวลานั้น เกิดนิมิตฝันขึ้นในคืนหนึ่ง ในฝัน พระบิดาของจักรพรรดิที่ได้สวรรคตไปแล้ว มาบอกว่า หญิงสาวชาวประมงแถวทะเลสาป จิงโบ ใส่ชุด กี่เพ้า จะได้กลายมาเป็นพระราชินี. หลังจากที่จักรพรรดิทรงตื่นขึ้น จึงส่งคนไปตามหาหญิงสาวชาวประมงคนนั้น และก็ได้พบตัวหญิงสาวผู้นั้น ในที่สุด หญิงสาวชาวประมงกับชุด เพ้าของเธอ ก็กลายเป็นที่นิยมของชาวแมนจูไปด้วย
รูปทรงดั้งเดิมของ กี่เท้า จะเป็นทรงกว้าง หลวมๆ คลุมรูปร่างเกือบทั้งตัวของผู้หญิง จะเหลือก็เพียง หัว , มือ , เท้าเท่านั้น ซึ่งในเวลาต่อมา ยุคปี 1920 ในเซี่ยงไฮ้ กี่เพ้า ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ เนื่องจากคนในยุคนั้น ต้องการอะไรที่แฟชั่น ทันสมัย ซึ่งกี่เพ้า กลายเป็นแฟชั่นที่โดนใจ
กี่เพ้า ถูกปรับปรุงให้รัดรูป สั้นขึ้น โชว์ทรวดทรง แตกต่างจาก กี่เพ้า ดั้งเดิมมาก กลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อ กี่เพ้า ในยุคนั้นก็จะเป็นชนชั้นสูง,บุคคลที่มีชื่อเสียง เดิมที่ กี่เพ้า ในยุคนั้นถูกเรียกว่า Zansae หรือแปลว่า เดรสยาว ในภาษาอังกฤษ เรียกว่า Cheongsam นั่นเอง

ปี 1930 กี่เพ้า ได้รับความนิยมไปทั่วประเทศจีน ซึ่งมีลักษณะที่หลากหลายมากขึ้น มีทั้งแบบสั้น แบบยาว มีปกและไม่มีปก และก็ยังถูกพัฒนาต่อไปอีก ตามแฟชั่นของโลกตะวันตก เช่น ทำปกสูง และ เป็นเดรสแขนกุด หรือ แขนเป็นทรงกระดิ่ง
ปี 1940 ที่เพ้า ถูกผลิตด้วยผ้าหลากหลายชนิดมากขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ ในฤดูร้อน กี่เพ้า ถูกดัดแปลงโดยการตัดแขนออกเพื่อความสบาย ซึ่งในยุคนี้ กี่เพ้า จะไม่ค่อยมีการตกแต่งอะไรมากนัก
ปี 1949 เมื่อถึงยุคคอมมิวนิสต์ แฟชั่นทั้งหลายก็ถูกลดบทบาทลง แต่ชาวเซี่ยงไฮ้ส่วนหนึ่ง ก็ได้อพยพไปอยู่ฮ่องกง และก็ได้นำเอาแฟชั่นต่างๆไปด้วย ทำให้แฟชั่นแบบเซี่ยงไฮ้นี้ ยังคงอยู่ต่อไป
ปี 1950 ผู้หญิงที่ทำงานใช้แรงงานในฮ่องกง มักใส่ชุด กี่เพ้า ที่ดัดแปลงให้เหมาะกับการทำงาน ผลิตจากผ้าขนสัตว์ ทอเป็นลาย Twill ลายซี่โครงที่คู่ขนานกัน และเริ่มถูกผสมผสานกับเสื้อผ้าที่ใส่สบายมากขึ้น เช่น เริ่มใส่คู่กับ เสื้อ กางเกงยีนส์ หรือ ชุดสูท กระโปรงต่างๆ
กี่เพ้า เริ่มถูกใช้เป็นชุดที่ดูทางการขึ้น หรือดาราหลายๆคนก็ใส่สำหรับงานแสดง โดยเฉพาะในไต้หวัน และ ฮ่องกง เช่น
ในปี 1960 Nancy Kwan ดาราสาวชาวฮ่องกง ใส่ชุดกี่เพ้าในหนังเรื่อง The World of Suzie Wong หนังที่โด่งดังทั้งในอังกฤษและอเมริก นำแสดงคู่กับพระเอก Viliam Holden แสดงให้เห็นถึงความชื่นชอบ กี่เพ้า ของโลกตะวันตก


หนังรักโรแมนติกย้อนยุค ในบรรยากาศของฮ่องกงปี 1960
ในปัจจุบัน กี่เพ้า ยังคงเป็นแฟชั่นที่แสดงถึงวัฒนธรรมของหญิงชาวจีน บางสายการบิน ก็ใช้เป็นยูนิฟอร์มด้วย เช่น China Airlines เป็นต้น หรือแม้แต่โรงเรียนประถม มัธยม ในฮ่องกง ก็ใช้เป็นยูนิฟอร์มเช่นกัน
กี่เพ้าหรือฉีเผา(旗袍) ตามสำเนียงจีนกลางนี้ มีต้นกำเนิดในสมัยราชวงศ์ชิง(ค.ศ. 1644-1911) ซึ่งปกครองแบบ 8แว่นแคว้น(ปาฉี/โดยชนเผ่าแมน ผู้นิยมเสื้อผ้าชุดยาวตลอดลำตัวที่เรียกว่า’เผา(袍 )’ จึงเป็นที่มาของ ‘ฉีเผา’นั่นเอง โดยได้รับความนิยมสูงสุดในรัชสมัยคังชีและหยงเจิ้ง (ค.ศ.1662- 1 736) ยุครุ่งเรืองแห่งราชวงศ์ชิง
หลังปีค.ศ. 1840 วัฒนธรรมตะวันตกได้ค่อยๆ จู่โจมเข้าสู่แดนมังกรพร้อมกับยุคล่าอาณานิคม เมืองชายฝั่งทะเล โดยเฉพาะเมืองสำคัญอย่างเซี่ยงไฮ้ ซึ่งมีชาวตะวันตกเข้าอยู่อาศัยปะปนกับชาวจีน จึงได้รับอิทธิพลตะวันตกก่อนพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ ไม่เว้นแม้แต่แฟชั่นการแต่งกายแบบฝรั่งที่ค่อยๆ แทรกซึม และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
กี่เพ้า ยังป็นแรงบันดาลใจให้กับดีไซน์เนอร์ทั่วโลก ด้วยความคลาสสิค ที่ดึงเอเสน่ห์ของหญิงสาวเอเชียออกมาได้อย่างงดงาม ทั้งแบรนด์อย่าง CD , Versace และ Ralph Lauren ก็ผสมผสานเอา กี่เพ้า มาใช้ในคอลเลคชั่นด้วยกันทั้งนั้น มนต์เสน่ห์ของ กี่เพ้า จึงยังคงอยู่ในโลกของแฟชั่นไปอีกแสนนาน ตรุษจีนปีนี้ อย่าลืมหา กี่เพ้าน่ารักๆ มาใส่กันนะคะ จะได้เข้ากับบรรยากาศ
วิวัฒนาการชุดกี่เพ้า
รูปแบบของชุดกี่เพ้าที่เราเห็นกันในปัจจุบัน จึงมีวิวัฒนาการจากชุดสตรีชาวแมนจู ที่ถูกสตรีชาวฮั่นนำไปประยุกต์ดัดแปลงผสมผสานการดูดซับเอาวัฒนธรรมเครื่องแต่งกายที่เน้นส่วนโค้งเว้าเข้ารูปแบบตะวันตก โดยจะมีลักษณะของแขน ปก ชาย การผ่าข้าง และความสั้นยาวเปลี่ยนไปตามความนิยมในแต่ละยุคสมัย

# ชุดกี่เพ้าต้นแบบเดิมในสมัยราชวงศ์ชิงนั้น จะค่อนข้างหลวม ยาวถึงเท้า มักมีปักเลื่อม และกุ้นขอบตลอดชุด
# พอถึงปลายราชวงศ์ชิง เข้าสู่ยุคสาธารณรัฐ(ตั้งแต่ปีค.ศ.191 1) ชุดกี่เพ้าจะผสมแบบชาวฮั่น ที่แยกกระโปรงกับเสื้อเป็นสองชิ้น ช่วงแขนจะสั้นลงและกว้างขึ้น
# ก่อนสงครามปราบขุนศึกภาคเหนือ(ค.ศ. 1 926-1927) ชุดกี่เพ้ากลับมายาวอีกครั้ง แต่เป็นแบบแขนกุด ที่ต้องใส่เสื้อแขนทรงระฆังไว้ข้างในอีกที
#ค.ศ.1926 เสื้อแขนทรงระฆังสั้นถูกเย็บติดกับกี่เพ้าชุดยาวเป็นชิ้นเดียวกัน ซึ่งถือเป็นแบบฉบับของกี่เพ้าในปัจจุบัน

# อารยธรรมตะวันตกที่หลั่งไหลเข้าสู่จีน ทำให้แฟชั่นทันสมัยในปีค.ศ. 1 927 ถูกผู้คนขนานนามว่าเป็น ‘ชุดแห่งอารยธรรมใหม่(เหวินหมิงซินจวง)’ คือเสื้อท่อนบนเข้ารูปกับกระโปรงบานยาวถึงข้อเท้า
#หลังปีค.ศ.1927 ความยาวของกระโปรงริ่มสั้ลง ส่วนปลายแขนเสื้อก็นิยมอัดกลีบบานคล้ายผีเสื้อ
# ค.ศ.1930 ด้วยอิทธิพลกระโปรงสั้นแบบยุโรป ส่งผลให้กี่เพ้าสั้นขึ้นอยู่เหนือหัวเข่า 1 นิ้ และช่วงแขนหดสั้น จนชุดมีลักษณะกระชับเข้ารูปมากขึ้น ซึ่งช่วงนั้น เรียกกี่เพ้าแบบใหม่นี้ว่า “ชุดนักเรียน(เสี่ยว์เชิงฝู)’ เนื่องจากเริ่มใช้อย่างแพร่หลายในหมู่นักเรียนก่อน
# หมวยจีนนิยมใส่กี่เพ้าสั้นได้เพียงปีเดียว ค.ศ.1931 ชุดกี่เพ้ากลับมายาวอีกครั้ง แต่เพิ่มความเร้าใจด้วยการผ่าข้างที่ไม่สูงนัก ส่วนแขนก็ยาวขึ้นถึงข้อศอก กระดุมคอเพิ่มเป็น 2 เม็ด และนิยมกุ้นขอบชุดด้วย

# นับวันการแต่งกายที่เน้นสรีระแบบตะวันตกก็เข้ามามีอิทธิพลต่อเสื้อผ้าชาวจีนมากขึ้น ค.ศ.1 933-1934 แฟชั่นผ่าข้างชุดกี่เพ้าสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงระดับน่อง และรัดรูปเข้าเอวมากขึ้น
#ในปีถัดมา ค.ศ.1935 สาวจีนนิยมกี่เพ้าที่ยาวคลุมเท้ามิดชิด ซึ่งถูกเรียกว่า “กี่เพ้ารุ่นกวาดพื้น(เสำาตี้ฉีเผา)’ แต่กลับผ่าข้างต่ำลงมาอยู่ใต้หัวเข่า
# วิวัฒนาการของชุดกี่เพ้าฉีกแนวโบราณอีกครั้งในปีค.ศ. 1937 จากเดิมที่เป็นแบบกระดุมเปิดอกข้างขาวอย่างเดียว ก็เริ่มมีแบบกระดุมเปิดอกทั้งซ้ายขวา และส่วนแขนสั้นขึ้น คือจะยาวจากช่วงไหล่ลงมาเพียง 2 นิ้ว
# ค.ศ. 1938 ชุดกี่เพ้าในเซี่ยงไฮ้เริ่มนิยมคอปกที่สูงขึ้น ชายกระโปรงยาวคลุมถึงพื้น เน้นรัดรูป และแขนกุด ซึ่งช่วยเพิ่มความเซ็กซี่ให้กับชุดกี่เพ้า

# (ซ้าย) ช่งสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ความยาวของกี่เพ้าขยับสูงขึ้นอีกครั้งเพื่อความทะมัดทะแมง มีผ่าข้างเล็กน้อย คอปกสูงติดกระดุม 3 เม็ด และแขนสั้น
# (ขวา) ยุคทศวรรษ 40 ที่ผ่นมา กี่เข้ามักจะมีขอบลวดลายสวยงามทั้งส่วนคอ แขน และชายกระโปรงตั้งแต่ทศวรรษที่ 50 จนถึงยุคปฏิวัติวัฒนธรรม(ค.ศ.1966-1976) ชุดกี่เพ้าถูกตีตราว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่านิยมคร่ำครีทั้ง 4 (แนวคิด วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตแบบเก่า) ที่สมควรถูกขจัดให้สิ้นแผ่นดินจีน เมื่อผ่านพ้นยุคแห่งความขัดแย้งภายใน เข้าสู่ยุคเปิดประเทศ สังคมจีนเริ่มปิดกว้างรับแนวคิดใหม่ๆ เสื้อผ้าที่เคยถูกบังคับให้ใช้ได้ไม่เกิน 3 สี คือ ดำ เทา และน้ำเงิน ก็ได้รับการปลดปล่อยให้มีอิสรเสรีทางสีสัน บรรดาสาวจีนจึงเริ่มสลัดชุดฟอร์มสมัยปฏิวัติ แล้วหยิบกี่เพ้าที่ถูกแช่เย็นไว้ราว 30 ปี มาปัดฝุ่นและแปลงโฉม แต่เนื่องจากปิดประเทศไปนาน ทำให้ชุดกี่เพ้าในช่วงทศวรรษที่ 80 ดูค่อนข้างจะเชยไปนิด

# ชุดกี่เพ้ายุคหลังปฏิวัติวัฒธรรมมักจะตัดเย็บออกมาคล้ายรูปขวด โดยส่วนเอวจะคล้ายคอขวด สะโพกค่อนข้างหลวม แขนกุดถือเป็นดีไซน์ ‘โบราณ’ ผสม ‘โมเดิร์น’ และมักใช้ผ้าที่มีลวดลายมาตัดเย็บ

‘ฮวายั่งเหนียนหัว花样年华’ (In the mood for love)
กระทั่งปลายปีค.ศ.2000 ‘ฮวายั่งเหนียนหัว花年华*'(In the mood for love) ภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมของผู้กำกับ หว่องการไว(หวังเจียเว่ย) ออกฉายทั่วประเทศ ปลุกกระแสแฟชั่นชุดกี่เพ้าให้ตื่นขึ้นในแดนมังกรอีกครั้ง เพราะเรื่องนี้ได้ออกแบบให้นางเอก จางมั่นอี้วั สวมชุดกี่เพ้าสุดคลาสสิกให้ผู้ชมได้ยลโฉมอย่างจุใจถึง 23 ชุด
ช่วง 10 กว่าปีมานี้ ชุดกี่เพ้าถูกออกแบบให้ทันสมัย มีรูปลักษณ์ใหม่ๆ ให้เห็นตามเวทีแคทวอล์กอยู่เสมอ ตลอดจนจัดเป็นเครื่องแต่งกายพิธีการของชาติจีนที่ปรากฏในเวทีระดับโลกศาสตร์แห่งศิลป์ของชุดกี่เพ้ายังมีความต่างกันระหว่างสไตล์นครเยงไฮ้กับกรุงปักกิ่ง
โดยกี่เพ้าของเซี่ยงไฮ้จะได้รับอิทธิพลเสื้อผ้าแบบตะวันตกมากกว่า มีรูปแบบที่หลากหลาย ดูทันสมัยและคล่องแคล่ว ส่วนสไตล์ปีกกิ่งนั้น จะดูเป็นทางการ และสุภาพเรียบร้อย
ทุกวันนี้ชาวจีนส่วนใหญ่ยอมรับกันว่า ช่างตัดเย็บชุดกี่เพ้าฝีมือเยี่ยมนั้นอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ขณะที่มีหลายเสียงลงความเห็นว่า หุ่นเนื้อนมไข่แบบสาวฝรั่ง ใส่ชุดกี่เพ้ายังไงก็ไม่มีเสน่ห์เท่าสาวจีนและสาวเอเชีย!
เรียบเรียงจาก Shanghai Online และ เฉียนหลงเน็ต
ร่วมแสดงความคิดเห็น