Urban Dictionary ให้ความหมายสำหรับ Friend zone ว่า เป็นการที่เราสนใจคนๆ หนึ่งอยู่ แต่เขากลับคิดกับเราแค่เพื่อน เปรียบเหมือนว่า เราตกลงไปในหลุมดำ ดินแดนที่ดูจะสิ้นหวัง และไม่มีวี่แววว่าจะหลุดพ้นจากสถานะนี้ได้เลย แต่เราอยากจะบอกว่า… การเอาใจออกมาจากสถานะแอบรักเพื่อน มันมีวิธีรอดชีวิตอยู่นะ มาดูไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่า

1. คุณต้องรู้ตัวก่อนว่า ตัวคุณอยู่ในสถานะไหน ในการแอบรักเพื่อน
จากงานวิจัย โดยถามถึงความรู้สึกที่ถูกใจของแต่ละฝ่ายที่มีต่อกัน พบว่า ผู้หญิงมักจะจำกัดความรู้สึกต่อเพื่อนผู้ชายเอาไว้ ในขณะที่เพื่อนชายมักจะแอบมีความรู้สึกให้เพื่อนตัวเองอยู่บ้าง ซึ่งอาจจะตรงกับประสบการณ์ที่เรามักเจอว่า หนุ่ม ๆ มักเป็นฝ่ายแอบรักเพื่อนผู้หญิง ในขณะที่ผู้หญิงมีแนวโน้ม มองว่าเพื่อนชายคงไม่ได้ชอบ จึงจำกัดความรู้สึกไว้แค่ความเป็นเพื่อน ดังนั้น ส่วนหนึ่งของการตีกรอบความเป็น Friend zone ให้กันและกันแบบนี้ หมายความว่า ทั้งสองฝ่ายรักษาความสัมพันธ์แบบเพื่อนเอาไว้ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่รู้สึกปลอดภัยมากกว่า ฉะนั้น ต้องรู้ก่อนว่า เราอยู่ในสถานะแอบรักเพื่อนแบบไหน
2. จะออกจาก Friend zone มีอยู่สองทาง
ทางแรก คือ หากรู้ว่าตัวเองเป็นมากกว่าเพื่อนแน่ ๆ แต่ยังไม่มีการถามอย่างจริงจังกับอีกฝ่าย ว่าเขารู้สึกแบบเดียวกับคุณหรือเปล่า เคสแบบนี้ ผลลัพธ์ 50/50 ประเด็นหลักเลยคือ คุณไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่นี่สิ
ส่วนอีกหนึ่งทาง คือ หากคุณต้องการเป็นมากกว่าเพื่อน แต่รู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ คุณต้องทำใจ ยอมแพ้ เพราะในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับคุณ ก็ควรเคารพความรู้สึก และการตัดสินใจ รวมไปถึงต้องรักษาระยะห่างด้วยนะ

3. ไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหน ก็ขอลุยไว้ก่อน
ใครที่พอมีวี่แววว่าจะได้พัฒนาความสัมพันธ์ ก็ลุยต่อได้เลย แต่ถ้าคนไหนยังไม่อยากจะยอมแพ้ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยล่ะก็… เอ้า มาลุยกันสักยก ลองหาวิธีเข้าหาเขา หาโอกาสที่จะได้เจอกัน หรือส่งสายตา หรือทำอะไรให้เขารู้สึกดีในบางครั้ง เพื่อเป็นสัญญาณที่บอกได้ว่าคุณกำลังแอบรักเพื่อนคนนี้อยู่ และด้วยความเป็นเพื่อนนี่แหละ จะช่วยให้เพื่อนรอบตัวของเขา คอยเป็นหูเป็นตา เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้อย่างอัตโนมัติ ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ตัวต่อความรู้สึกที่คุณมีให้แน่นอน
4. ถึงเวลาที่จะต้องเคลียร์แล้ว
หากคุณอยู่ในความสัมพันธ์แอบรักเพื่อนที่มีทางเป็นไปได้ แนะนำวิธีที่ดีและง่ายที่สุด ว่าให้ถามกับเขาไปตรง ๆ เลย แต่ต้องถามให้ถูกเวลา ถูกสถานการณ์ และถูกวิธีด้วยล่ะ เช่น ควรถาม ก็ต่อเมื่อเขาเริ่มสนใจในตัวคุณจริง ๆ หรือมีสัญญาณอะไรสักอย่างที่บอกได้ว่า นี่แหละ ถึงเวลาแล้ว! อย่าใจร้อน รีบเร่งจนเกินไป เพราะเรื่องแบบนี้จำเป็นต้องรอเวลานะ
5. ความรู้สึกของทั้งสองคน สำคัญที่สุด
สิ่งสำคัญที่สุดเลยก็คือ ความรู้สึกของอีกฝ่าย คุณอาจบอกไปเลยว่า ถ้าจะปฏิเสธก็ไม่เป็นไร นอกจากอีกฝ่ายจะได้รู้ถึงความในใจ และไม่ทำร้ายความรู้สึกของคุณแล้ว ยังทำให้รู้สึกว่าไม่เป็นการเร่งเร้า หรือกดดันอีกฝ่ายจนเกินไปด้วย

6. ถ้าผิดหวังมา จำไว้ว่า อย่าปิดกั้นตัวเอง
‘เมื่อคุณต้องเจอกับความผิดหวัง จำไว้ว่าคุณไม่ใช่คนแรกที่เจอสถานการณ์แบบนี้ ลองให้เวลากับตัวเองสักหน่อย ไว้มีแรงใจมากขึ้น ค่อยกลับมาก็ได้’ (Dr. Darcy Sterling ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ของทินเดอร์ แนะนำไว้) ไม่ว่าคุณจะรักษามิตรภาพต่อไปได้หรือไม่ แต่มันเป็นเรื่องดีที่คุณได้บอกความรู้สึกออกไป เพราะถ้าเก็บเอาไว้ คุณเองนั่นแหละจะเป็นฝ่ายเจ็บปวด ซึ่งจริง ๆ แล้ว อาจจะคุ้มค่าก็ได้ เพราะ ผลลัพธ์จะออกมาสมหวังหรือไม่ก็ตาม ถือเป็นการปลดปล่อยตัวเองให้ได้เจอกับความสัมพันธ์ที่ดี ทำให้คุณมีความสุขมากกว่าต้องทนกับความผิดหวัง และที่สำคัญ อย่าปิดกั้นตัวเองกับการเปิดใจคุยกันเพื่อให้ความสงสัยในใจหายไป และคุณจะได้มีเวลาตามหาคนที่เขาก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน
ทั้งนี้มีงานวิจัยเผยว่า ผู้ชายนั้น มักเป็นฝ่ายที่อยู่ในความรู้สึก Frined Zone บ่อยกว่าผู้หญิง และมักสารภาพรักออกไปไวกว่าด้วย นั่นเป็นเพราะ ผู้หญิงตกหลุมรักบ่อยกว่าผู้ชาย และเป็นความรักที่รุนแรงกว่าผู้ชาย ผู้หญิงคิดว่าความรักเป็นสิ่งที่สวยงามและมีอุดมคติเรื่องคู่มากกว่าผู้ชาย แม้ผู้หญิงจะรักบ่อยกว่าและรุนแรงกว่า แต่กลับพบว่าผู้ชายตกหลุมรักเร็วกว่าผู้หญิง ซึ่งกรอบของสังคมไทย ทำให้ผู้ชายนั้นมีเรื่องในระมัดระวังตัวน้อยกว่าฝ่ายหญิง ตลอดจนการถูกมองเรื่องการวางตัว ทำให้ผู้ชายมีโอกาสในการบอกรักได้มากกว่า และตัดสินใจได้เร็วกว่าฝ่ายหญิงที่ต้องคิดรอบด้านและมีความลังเลมากกว่าทั้งสารภาพรักและการตอบรับเมื่อถูกสารภาพ
อีกทั้งมุมมองความรักที่แตกต่างกันในเรื่องของการรัก เช่น ผู้หญิงและผู้ชายเชื่อและมีประสบการณ์รักแรกพบบ่อยพอ ๆ กัน ผู้หญิงและผู้ชายรักในปริมาณเท่า ๆ กัน แต่อาจจะมีวิธีรักแตกต่างกัน ดูเหมือนผู้ชายเชื่อในรักโรแมนติคมากกว่าผู้หญิง เช่น เชื่อว่ารักแท้มีแค่เพียงครั้งเดียวในชีวิต รักแท้ย่อมนำไปสู่ความสุขที่สมบูรณ์แบบ คนควรจะแต่งงานกับใครก็ได้ที่ตนรักโดยไม่ต้องคำนึงถึงสถานภาพทางสังคม ผู้หญิงดูเหมือนจะฉลาดกว่าผู้ชายในเรื่องนี้ และคำนึงถึงความเป็นจริงในเรื่องของเศรษฐกิจสังคมมากกว่า จึงทำให้ผู้หญิงใช้ความเหมาะสมเป็นเกณฑ์ในการเลือกคนที่ตนจะรักและแต่งงานด้วย
การที่คู่รักหรือคู่สมรสทำให้อีกฝ่ายรู้สึกพึงพอใจมักทำให้ความสัมพันธ์ยืนยาว การให้เครดิตในสิ่งที่อีกฝ่ายทำให้กับตนจะช่วยเติมความสุขให้แก่คนทั้งคู่ แต่สิ่งที่พบก็คือ คู่รักหรือคู่สมรสมักมองว่าตนทำอะไร ๆ ให้แก่อีกฝ่ายมากกว่าที่ทำจริง ๆ เช่น การหุงหาอาหาร การทำความสะอาดบ้าน และการวางแผนทำโน่นทำนี่ เป็นต้น นี่ย่อมแสดงว่าผู้ชายและผู้หญิงไม่ได้ให้เครดิตกับคู่ของตนเต็มที่เท่าที่อีกฝ่ายทำจริง ๆ และเป็นไปได้ว่ามีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันในเรื่องความสำคัญของกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การกวาดบ้าน หรือการโอบกอดแสดงความรัก

จริง ๆ แล้วผู้ชายและผู้หญิงมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมากในเรื่องนี้ ผู้ชายคิดว่ากิจกรรมบางอย่าง เช่น การล้างจาน การกวาดบ้าน สำคัญมากกว่าการแสดงความรักใคร่ หรือการโอบกอด ในขณะที่ผู้หญิงคิดตรงกันข้าม ด้วยเหตุนี้ เวลาที่ผู้ชายคิดจะแสดงความรักต่อคู่รักหรือภรรยา ผู้ชายจึงล้างรถให้ผู้หญิงเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขารักผู้หญิงมากแค่ไหน ซึ่งผู้หญิงมองว่าการล้างรถเป็นการทำประโยชน์แต่ไม่ใช่การแสดงความรัก
ผู้หญิงและผู้ชายมองความรักและความสัมพันธ์แตกต่างกัน สำหรับผู้หญิงความใกล้ชิดคือการพูดคุยกัน สำหรับผู้ชาย ความสัมพันธ์คือการทำอะไร ๆ ด้วยกัน ผู้หญิงให้ความสำคัญของความสามารถในการหารายได้ของผู้ชาย ความซื่อตรงไม่นอกใจ ผู้ชายให้ความสำคัญกับเรื่องเพศ การเอาอกเอาใจ และความสนใจร่วมกัน ผู้หญิงชอบบ่นว่าความสัมพันธ์กำลังมีปัญหา ในขณะที่ผู้ชายคิดว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ผู้หญิงต้องการแก้ปัญหาเวลาที่ขัดแย้งกัน แต่ผู้ชายต้องการหลีกเลี่ยงปัญหา
ที่มา รองศาสตราจารย์ ดร.คัคนางค์ มณีศรี คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
shortrecap.co
ร่วมแสดงความคิดเห็น