สายแซ่บระวัง กินของหมักดอง และปลาเค็ม เสี่ยงมะเร็งเพิ่ม 7 เท่า

“Lou Peiren” รองประธานโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan University Hospital, NTUH) และศาสตราจารย์ด้านโสต ศอ นาสิกวิทยา วิทยาลัยแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan University College of Medicine, NTUCM) เตือนว่าอาหารจำพวก “ปลาเค็ม” มีไนไตรต์สูง หากกิน 5 มื้อต่อสัปดาห์ โอกาสเกิดมะเร็งหลังโพรงจมูกคือ 7 เท่าของคนธรรมดา

สารไนเตรต-ไนไตรต์ (Nitrate-Nitrite) เป็นสารเคมีที่ใช้เป็นสารกันเสีย โดยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่เป็นสาเหตุทำให้อาหารบูดเน่า และช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์จำพวกคลอสตริเดียมบอทูลินั่ม (Clostridium botulinum) และ คลอสตริเดียมเปอร์ฟรินเจน (Clostridium perfringens) ที่สามารถสร้างสารพิษรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

นอกจากนี้สารไนเตรต-ไนไตรต์ ยังทำให้เกิดสีในเนื้อสัตว์ โดยทำให้เกิดสีแดงอมชมพูในผลิตภัณฑ์เนื้อแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน แหนม กุนเชียง เนื้อเค็ม สีเกิดจากการรวมตัวของไนไตรต์กับเม็ดสีในเลือด เป็นไนโตรโซฮีโมโครม (nitrosohemochrome)

ซึ่งเมื่อถูกความร้อนจะเปลี่ยนเป็นสารสีแดงอมชมพูที่คงตัว ทำให้เนื้อมีสีสดน่ารับประทาน จึงนิยมใช้เป็นวัตถุเจือปนในอาหาร โดยมิได้คำนึงถึงโทษหรือพิษภัย เมื่ออุตสาหกรรมการผลิตอาหารมีการพัฒนา และใช้เทคโนโลยีใหม่ๆในการผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อบริโภคทั้งในประเทศและการส่งออก จึงมีการใช้สารเคมีช่วยยืดอายุการเก็บรักษาสภาพอาหารให้คงไว้ได้นาน ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการใช้สารเคมีเหล่านี้ด้วย

ทางกระทรวงสาธารณสุขของไทยอนุญาตให้มีการใช้โซเดียมไนไตรท์ลงในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป ไม่เกิน 80 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม เพราะภายใน 1วัน ร่างกายจะสามารถรับโซเดียมไนไตรท์ได้ 0.07 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หากได้รับมากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย ได้แก่

  • ปวดศีรษะ
  • อ่อนเพลีย
  • คลื่นไส้
  • อาเจียน
  • ปวดท้อง
  • หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
  • ความดันต่ำ
  • ขัดขวางการลำเลียงออกซิเจนในร่างกาย เกิดภาวะฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงทำงานผิดปกติ (Methemoglobinemia) ส่งผลให้เกิดอาการ หายใจไม่ออกหรือหายใจลำบาก ถึงขั้นเสียชีวิตได้
  • หากโซเดียมไนไตรท์ทำปฏิกิริยากับเอมีนในเนื้อสัตว์แปรรูป เมื่อผ่านการปรุงสุกสามารถเกิดเป็นสารก่อมะเร็งไนโตรซามีนขึ้นได้
ภาพ medthai.com

ทั้งนี้พบว่า มะเร็งหลังโพรงจมูกเป็นเนื้องอกที่พบได้บ่อยในหมู่ชาวจีนตอนใต้-ไต้หวัน จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการ ระบุว่า มะเร็งหลังโพรงจมูกเป็นมะเร็งในผู้ชายที่พบมากเป็นอันดับที่ 10 ในไต้หวัน ในปี 2537 และเสียชีวิตมากเป็นอันดับที่ 9 ในไต้หวัน มีผู้เสียชีวิต 626 รายจากมะเร็งหลังโพรงจมูก ทุกกลุ่มอายุมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหานี้ แต่ที่พบมากสุดคือในช่วงอายุ 40 ปี

สาเหตุของมะเร็งหลังโพรงจมูก พบว่าการถ่ายทอดทางพันธุกรรมเป็นปัจจัยสำคัญ ตามมาด้วยปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม อาหารรสเค็มหรือรมควัน และการบริโภคอาหารดองบ่อยๆ หรือการจุดธูปและการสูบบุหรี่ รวมทั้งการติดเชื้อไวรัสเอปสไตน์บาร์ (Epstein-Barr virus – EBV)

มีผลวิจัยชี้ว่า การกินของดองสัปดาห์ละ 2 มื้อ มีโอกาสเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูก 5 เท่า และหากกินของดองสัปดาห์ละ 5 มื้อ มีโอกาสเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูก 7 เท่าของคนทั่วไป โดยเฉพาะยิ่งเมื่ออายุมากขึ้น ยิ่งกินของดอง ยิ่งมีโอกาสเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูกมากขึ้น เพราะอาหารดองมีสารไนไตรท์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งชั้นหนึ่งอยู่มาก

Lou Peiren ย้ำว่า ไม่แนะนำให้เด็กเล็กกินของหมักดอง โดยเฉพาะเด็กที่เพิ่งหย่านม ไม่ควรจะให้กินปลาเค็มหรือของดอง

ผู้เชี่ยวชาญยังชี้ด้วยว่า ตราบใดที่การรักษาถูกต้อง โอกาสที่มะเร็งหลังโพรงจมูกจะหายในระยะแรกมีสูงมาก พร้อมเตือนคนหนุ่มสาว โดยเฉพาะผู้ชาย หากพวกเขามีอาการต่อมน้ำเหลืองที่คอโต เลือดกำเดาไหลโดยไม่ทราบสาเหตุ คัดจมูก หูอุดตัน ปวดคอ ควรเข้าปรึกษาแพทย์ อย่ามองข้ามโรคนี้ หากรอให้เนื้องอกลุกลามถึงสมองหรือกระดูก โอกาสหายขาดก็ยิ่งน้อยลง

ที่มา
ctwant
pharmacy.mahidol
petcharavejhospital

ร่วมแสดงความคิดเห็น