หญิงตั้งครรภ์กับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 ความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม

😷👩🏻หญิงตั้งครรภ์กับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 ความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม

ปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็นสิ่งที่หลายคนกังวล โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะฝุ่นละอองขนาดเล็กนี้สามารถส่งผลกระทบต่อทั้งแม่และทารกในครรภ์ได้

🔹ผลกระทบของฝุ่น PM2.5 ต่อหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์

  • ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษ
  • เสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด
  • ทารกน้ำหนักตัวน้อย
  • ทำลายเซลล์และดีเอ็นเอของทารก
    PM2.5 ส่งผลกระทบต่อหญิงตั้งครรภ์และทารกในแต่ละไตรมาสแตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญของการพัฒนาอวัยวะของทารก

🔹ผลกระทบของ PM2.5 ต่อการตั้งครรภ์ ตามไตรมาส
-ไตรมาสแรก (1-3 เดือนแรก) เป็นช่วงที่ทารกเริ่มพัฒนาระบบอวัยวะสำคัญ เช่น ระบบประสาท หัวใจ สมอง แขนขา และอวัยวะภายใน การได้รับ PM2.5 ในปริมาณมากอาจทำให้เกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม ส่งผลให้เกิดความพิการแต่กำเนิด เช่น ภาวะหลอดประสาทไม่ปิด โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ปากแหว่ง เพดานโหว่ แขน-ขาผิดปกติ หรือความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อน เพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรได้
-ไตรมาสที่สอง (4-7 เดือน หรือ 28 สัปดาห์) ช่วงนี้เป็นการพัฒนาอวัยวะให้สมบูรณ์ และมีการเจริญเติบโตของร่างกาย PM2.5 อาจทำให้เกิด การเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (FGR: Fetal Growth Restriction) ทารกมีน้ำหนักแรกเกิดน้อยได้ ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจของทารก เพิ่มความเสี่ยงของ โรคหอบหืดและโรคปอดเรื้อรังในอนาคต มีผลต่อการพัฒนาของสมอง อาจทำให้เด็กมีพัฒนาการช้า หรือ สติปัญญาบกพร่อง ในอนาคต นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงของภาวะเบาหวานและความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ด้วยเช่นกัน
-ไตรมาสที่สาม (หลัง 7 เดือน – ใกล้คลอด) เป็นช่วงที่ทารกเติบโตเต็มที่ และพัฒนาสมองและปอดให้พร้อมสำหรับหลังคลอด การได้รับ PM2.5 ในปริมาณมาก อาจเพิ่มความเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด ภาวะครรภ์เป็นพิษ ทารกที่คลอดก่อนกำหนดอาจมีปัญหาปอดพัฒนาไม่สมบูรณ์ และภูมิคุ้มกันต่ำหลังคลอด ส่งผลให้เกิดปัญหาภูมิแพ้ตามมาเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูงในอนาคต
PM2.5 เป็นมลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์อย่างมีนัยสำคัญ โดยสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ในการตั้งครรภ์ เช่น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ครรภ์เป็นพิษ การเจริญเติบโตช้า และการคลอดก่อนกำหนด ซึ่งหญิงตั้งครรภ์ที่สัมผัสกับ PM2.5 ในระดับสูงมีความเสี่ยงสูงขึ้นในการคลอดก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ ซึ่งอาจทำให้ทารกมี ปัญหาการหายใจ ภูมิคุ้มกันต่ำ และพัฒนาการล่าช้า เป็นการดีมากหากวางแผนก่อนตั้งครรภ์ เพราะสุขภาพของทั้งพ่อและแม่มีผลโดยตรงต่อโอกาสในการตั้งครรภ์และสุขภาพของลูกในอนาคต การได้รับฝุ่น PM2.5 ในระหว่างตั้งครรภ์สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคุณแม่และทารกในครรภ์ดังนี้

  1. อาการทั่วไปที่อาจเกิดจากฝุ่น PM2.5
    หญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับฝุ่น PM2.5 มักมีอาการคล้ายกับประชาชนทั่วไป เช่น
    ✅ ระคายเคืองตา แสบตา ตาแห้ง
    ✅ น้ำมูกไหล คัดจมูก ไอ เจ็บคอ
    ✅ หายใจลำบาก แน่นหน้าอก หรือหายใจเหนื่อย
    ✅ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อ่อนเพลียผิดปกติ
  2. อาการเฉพาะที่ต้องเฝ้าระวังในหญิงตั้งครรภ์
  • น้ำหนักขึ้นน้อยกว่าปกติ ทำให้เสี่ยงทารกเติบโตช้า
  • ทารกดิ้นน้อยลง หรือไม่รู้สึกการเคลื่อนไหวของทารก
  • มีอาการบวมผิดปกติ จุกแน่นลิ้นปี ปวดศีรษะรุนแรง หรือมองเห็นไม่ชัด ร่วมกับวัดความดันโลหิตและพบว่าสูงผิดปกติ (อาจเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ)
  • น้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ (เสี่ยงเบาหวานขณะตั้งครรภ์)
  • มีอาการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด (เสี่ยงคลอดก่อนกำหนด)

3. วิธีการเฝ้าระวังและมาตรฐานการดูแลหญิงตั้งครรภ์ในช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 สูง
แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์มักใช้มาตรฐานในการดูแลหญิงตั้งครรภ์ในช่วงที่มีมลพิษทางอากาศสูง โดยอาจมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อเฝ้าระวังผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 ได้แก่

    🔹การตรวจคัดกรองและติดตามอาการ
    ✅ ตรวจความดันโลหิตและภาวะโปรตีนในปัสสาวะ เพื่อตรวจหาความเสี่ยงของครรภ์เป็นพิษ
    ✅ ตรวจน้ำตาลในเลือด เพื่อเฝ้าระวังภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์
    ✅ อัลตราซาวด์เพื่อติดตามพัฒนาการและการเจริญเติบโตของทารก
    ✅ ตรวจระดับออกซิเจนในเลือดในกรณีที่มีอาการหายใจลำบาก

    🔹การป้องกันตนเองจากฝุ่น PM2.5

    • เกาะติดสถานการณ์ติดตามค่าฝุ่นละออง
      ตรวจสอบคุณภาพอากาศผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ หากค่าฝุ่นสูงควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมนอกอาคาร ถ้ามีความจำเป็นต้องออกนอกอาคาร ควรมีการป้องกันอย่างเหมาะสมร่วมกับพยายามใช้เวลาอยู่ภายนอกอาคารให้น้อยที่สุด
    • สวมหน้ากากป้องกัน
      ใช้หน้ากาก N95 หรือหน้ากากที่มีประสิทธิภาพสูงในการกรองฝุ่น PM2.5
    • ใช้เครื่องฟอกอากาศ
      เลือกเครื่องฟอกอากาศที่สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กได้ เพื่อให้อากาศภายในบ้านสะอาดและปลอดภัย
    • ลดการเปิดหน้าต่าง
      ปิดประตูหน้าต่างให้สนิทเมื่อค่าฝุ่นสูง เพื่อลดการรับฝุ่นจากภายนอก
    • เสริมสร้างสุขภาพ
      รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักและผลไม้ นอนหลับให้เพียงพอ และออกกำลังกายเบาๆ เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก : รศ.พญ.สุชยา ลือวรรณ อาจารย์ประจำภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    เรียบเรียง : นางสาวนันทพร ระบิน
    ภาพ / ข่าว : กลุ่มงานสื่อสารองค์กร
    งานประชาสัมพันธ์ คณะแพทยศาสตร์
    มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    ติดตามผ่านทาง Facebook : https://cmu.to/TF4Sx

    #MedCMU #คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ #โรงพยาบาลสวนดอก #โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ #แพทย์เชียงใหม่ #แพทย์มช #หมอสวนดอก #แพทย์สวนดอก #MedCMUในมือคุณ #สื่อสารองค์กรMedCMU

    ร่วมแสดงความคิดเห็น