เตือนภัยมิจฉาชีพออนไลน์ วิธีเช็กก่อนโอนเงินไม่โดนโกง

ภัยร้ายจากมิจฉาชีพยุคดิจิทัลอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด อ่านวิธีป้องกันกลโกงและการตรวจสอบก่อนโอนเงิน เพื่อให้เงินของคุณปลอดภัยจากอาชญากรไซเบอร์

รู้ทันมิจฉาชีพ ! เช็ก 5 วิธีป้องกันก่อนโอนเงิน

ปัจจุบัน “มิจฉาชีพออนไลน์” ได้กลายเป็นภัยร้ายใกล้ตัวที่หลายคนอาจเผชิญโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นกรณีเงินในบัญชีที่หายไปอย่างมีเงื่อนงำ การหลอกลวงจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือแม้แต่การใช้บัญชีม้าเป็นช่องทางในการฟอกเงิน

ดังนั้น การรู้เท่าทันกลโกงเงินเหล่านี้ และเรียนรู้วิธีตรวจสอบก่อนทำธุรกรรม จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ทุกการโอนเงินของคุณดำเนินไปได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

กลโกงยอดฮิตของมิจฉาชีพออนไลน์

มิจฉาชีพยุคใหม่มีเทคนิคที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยอาศัยข้อมูลจากโลกออนไลน์เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและทำให้เหยื่อตายใจ ตัวอย่างเช่น

  • โทรศัพท์อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือธนาคาร แล้วใช้วิธีข่มขู่บังคับให้โอนเงิน
  • ส่งลิงก์ปลอมแนบมากับ SMS ซึ่งหากเผลอกดเข้าไปก็อาจติดมัลแวร์ที่ออกแบบมาเพื่อดูดเงินโดยตรงจากบัญชี
  • ใช้บัญชีม้าที่เจ้าของไม่รู้ตัวหรือจากผู้ที่ยอมขายบัญชี เพื่อโอนถ่ายเงินไปยังผู้ร่วมขบวนการ ทำให้การติดตามหาตัวผู้กระทำผิดทำได้ยากยิ่งขึ้น

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า การหลอกลวงทางออนไลน์ไม่ได้จำกัดเพียงการโทรศัพท์ข่มขู่เหมือนในอดีต แต่ได้พัฒนาเป็นเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีรูปแบบซับซ้อนและทำงานอย่างเป็นระบบ

5 วิธีเช็กก่อนโอนเงินไม่ให้โดนโกง

การโอนเงินออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นจำนวนมากหรือน้อย ควรมีขั้นตอนตรวจสอบอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยสามารถทำได้ดังนี้

  1. ตรวจสอบผู้รับเงิน

ก่อนโอนทุกครั้งควรค้นหาข้อมูลของบัญชีปลายทาง หากพบว่ามีประวัติเป็นบัญชีต้องสงสัย หรือเคยถูกใช้โดยมิจฉาชีพ ก็ควรหลีกเลี่ยงทันที เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการสูญเสียเงิน

  • ระวังข้อความและลิงก์แปลกปลอม

อย่ากดเข้าไปในลิงก์ที่ส่งมาทาง SMS หรือโซเชียลมีเดียโดยไม่รู้ที่มา เพราะอาจแฝงโปรแกรมมัลแวร์ที่สามารถดักเก็บข้อมูลส่วนตัวและรหัสผ่าน นำไปสู่การถูกดูดเงินจากบัญชีได้

  • ยืนยันตัวตนก่อนทำธุรกรรม

ใช้ระบบยืนยันหลายชั้น เช่น Face ID, PIN Code หรือรหัส OTP เพื่อเพิ่มระดับความปลอดภัย และมั่นใจได้ว่าไม่มีใครสามารถแอบเข้ามาใช้งานบัญชีแทนคุณได้ง่าย ๆ

  • ตรวจสอบความผิดปกติของรายการโอนเงิน

หากพบว่ามีธุรกรรมที่ไม่ตรงกับพฤติกรรมการใช้งานปกติ ควรรีบติดต่อผู้ให้บริการทางการเงินทันที เพื่อให้ตรวจสอบและป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม

  • ไม่โอนเงินตามคำสั่งจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์

จำไว้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐหรือธนาคารไม่มีนโยบายให้ลูกค้าโอนเงินเข้าบัญชีบุคคลอื่นเพื่อ “ตรวจสอบ” หากได้รับสายลักษณะนี้ ควรตัดสายทิ้งทันทีและรีบรายงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เทคโนโลยีความปลอดภัยช่วยปกป้อง

ปัจจุบันผู้ให้บริการทางการเงินให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้ใช้งานมากขึ้น โดยนำเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ (Advance Risk Intelligence) มาทำงานร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และเทคโนโลยีการอ่านชีวมิติ (Biometric Technology) เพื่อช่วยตรวจจับความผิดปกติของธุรกรรมและลดโอกาสที่มิจฉาชีพจะสวมรอยเข้ามาได้ การทำงานเหล่านี้ครอบคลุมทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการใช้งานจริง

ที่สำคัญยังมีระบบป้องกันหลายชั้นที่ออกแบบมาเพื่อสกัดการโจมตีทางการเงินโดยตรง เช่น

  • ยืนยันตัวตนที่รัดกุมกว่าเดิม

ไม่ว่าจะเป็นการใช้รหัส PIN, OTP หรือการสแกนใบหน้า ก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ว่าผู้ที่เข้าบัญชีคือตัวคุณจริง ๆ ไม่ใช่มิจฉาชีพที่แอบอ้าง

  • ตรวจสอบและบล็อกภัยแฝง

หากมีการติดตั้งแอปพลิเคชันที่เข้าข่ายเป็นมัลแวร์หรือมีพฤติกรรมเสี่ยง ระบบสามารถดักจับและเตือนผู้ใช้งานได้ทันที

  • หยุดธุรกรรมผิดปกติทันที

เมื่อมีรายการโอนเงินที่ไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้งานปกติ ระบบจะร้องขอการยืนยันเพิ่มเติม หรือระงับธุรกรรมก่อน เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

ด้วยกลไกการทำงานแบบหลายชั้น ผู้ใช้งานจึงมั่นใจได้ว่าทุกการทำธุรกรรมได้รับการเฝ้าระวังและป้องกันอย่างรอบด้าน

ภัยจากมิจฉาชีพออนไลน์ไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป เพราะเพียงเสี้ยววินาทีคุณก็อาจสูญเสียเงินไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น การรู้เท่าทันกลโกง การตรวจสอบข้อมูลก่อนโอนเงิน การระวังการติดมัลแวร์ และไม่หลงเชื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงเป็นเกราะป้องกันชั้นแรกของผู้ใช้ ขณะเดียวกัน การเลือกแพลตฟอร์มที่มีระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง ก็เป็นอีกชั้นสำคัญที่จะทำให้ทุกธุรกรรมมั่นใจได้ว่า “เงินของคุณปลอดภัย” และพร้อมรับมือกับอาชญากรรมการเงินยุคดิจิทัลที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นทุกวัน

ร่วมแสดงความคิดเห็น