ถ้ารายได้ต่อเดือนหนึ่งหมื่นบาทแต่ภาระผ่อนต่อเดือนเกินเจ็ดพันบาทอย่างนี้เรียกว่า “อันตราย”
วันนี้จะมาคุยกันถึงเรื่องที่ใกล้ตัวของคนเชียงใหม่ นั้นคือ “หนี้ครัวเรือน” ฟังแล้วดูน่ากลัวพอสมควร หนี้ครัวเรือนที่ตอนนี้ใครหลาย ๆ คนก็ขยับไปอยู่ในกลุ่มนี้อย่างไม่ทันตั้งตัว และน่าวิตกกังวลอย่างมาก เพราะระดับหนี้ครัวเรือนของเมืองไทยนั้นสูงขึ้นไปแตะที่ระดับ 90% ของรายได้ประชาชาติกันแล้ว มันเยอะหรือมันน้อยหรือมีประเทศอื่นที่สูงกว่านี้หรือไม่และมีวิธีการในการแก้ไขปัญหานี้อย่างไร
ถ้าเราพูดถึงเรื่อง “หนี้ครัวเรือน” มีประเทศที่ร่ำรวยมาก ๆ แล้วไม่มีหนี้ครัวเรือนเลยนั้นมีหรือไม่ ?
หนี้ครัวเรือน ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่จะมีอยู่ในทุกประเทศ แต่ว่าระดับความสูงของหนี้และการไต่ระดับของหนี้จะไปเร็วขนาดไหน ? หนี้โตขนาดไหน ? แล้วรายได้โตทันหรือเปล่า ? อันนี้เป็นประเด็น สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เป็นประเด็น คำถาม คือ หนี้ที่เรามีอยู่เราก่อหนี้ไปเพื่ออะไร หรือมีไว้เพื่อทำอะไร ?
สมมติเราเอาแต่ละประเทศมาต่อแถวกัน หนี้ของคนไทย หนี้ครัวเรือนมีอยู่ 90% จากรายได้ประชาชาติ มีประเทศไหนสูงกว่าเราหรือไม่
ประเทศที่สูงกว่าเรามีอยู่ 10 ประเทศตอนนี้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 11 ของโลก หนี้ครัวเรือนต่อรายได้ประชาชาติ ถ้าดูในภูมิภาคเดียวกัน ประเทศเกาหลี มีหนี้ครัวเรือนสูงกว่าของเรา เรียกว่าหนี้ครัวเรือนก็มีปัญหาที่เกาหลีเหมือนกัน ของเขาอยู่ที่ประมาณ 107% ต่อรายได้ประชาชาติ ถ้าเทียบกับของประเทศไทย 90% ต่อรายได้ประชาชาติ ใกล้เข้ามาอีกหน่อยอย่างมาเลเซีย อยู่ที่ประมาณ 75% ต่อรายได้ประชาชาติ
ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะอยู่อันดับที่ 11 ของโลก หนี้ครัวเรือนในเชิงสัดส่วนรายได้ประชาชาติ ก็เรียกว่า น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อยต้องค่อยจับตาดูอย่างมาก

ในประเทศตะวันตกที่ ร่ำรวย มีหนี้ครัวเรือนน้อยขนาดไหน ?
ประเทศที่ร่ำรวยมากอย่างสวิตเซอร์แลนด์ หนี้ครัวเรือนก็สูงเหมือนกัน คือ 130% แต่มันไม่ได้หมายความว่าดีที่สุดหรือไม่ดีที่สุดต้องดูว่าครัวเรือน เป็นหนี้เพื่อเอาไปทำอะไรก่อน วิธีการประเมิน หนี้ครัวเรือน มีวิธีมองอยู่ 2 ส่วน คือ
1. วิ่งขึ้นเร็วขนาดไหน อย่างประเทศไทยภาระหนี้ครัวเรือนก่อนโควิด อยู่ที่ 80% ต่อรายได้ประชาชาติ ผ่านมา 2 ปี ที่เกิดการแพร่ระบาดโควิด หนี้ครัวเรือนกระโดดขึ้นมาอยู่ที่ 90% ต่อรายได้ประชาชาติ อันนี้ถือว่า วิ่งขึ้นเร็วมาก ปรับขึ้นเร็วจนน่ากังวลอย่างมาก
2. เอาหนี้ไปทำอะไร หรือ กู้ไปเพื่อทำอะไร ในบางประเทศที่มีหนี้สูงไม่น่าเป็นห่วงมากเพราะว่า ส่วนใหญ่เอาไปซื้อที่อยู่อาศัยเอาไปซื้อรถยนต์ เอาไปเพื่อใช้งานในชีวิตในการดำรงชีพเป็นหนี้ที่มีวัตถุประสงค์
แต่ที่ประเทศไทยน่ากลัว เพราะว่าประมาณ 30% ของหนี้ครัวเรือน เป็นหนี้เพื่อการบริโภค กู้มาเพื่อใช้จ่าย ตรงนี้ถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระวังอย่างมากเพราะเป็นหนี้ที่เรียกว่า ใช้แล้วหมดไป
ในส่วนของประเทศเกาหลีที่เจริญแล้วและอยู่ในกลุ่ม องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (The Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) เขามีหนี้ครัวเรือนสัดส่วนที่สูงกว่าเราสัดส่วนของเขาเมื่อเทียบกับเราต่างกันอย่างไร
จริง ๆ ประเทศเกาหลีก็น่ากังวลเหมือนกัน เพราะเป็นหนี้เพื่อการบริโภคสูง แต่ของเขาคือ หนี้กู้เพื่อซื้อบ้านที่อยู่อาศัย พวกสินเชื่อบ้านจะอยู่ระดับ 40 – 60% คือสัดส่วนสูงกว่า แต่ประเทศเขามีระดับรายได้ที่สูง แต่ของของประเทศไทยในสัดส่วนประมาณ 35 % แต่รายได้ในครัวเรือนแตกต่างกันอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบ
มองกลับกันก็คือหนี้ที่มาใช้การบริโภคของเราเนี่ยอยู่สูงจริงๆก็ไล่ๆกับเกาหลีนะครับก็คือ 30% ของหนี้เราเนี่ย 40.5 ล้านล้าน หนี้ครัวเรือน และนี่ยังไม่นับรวมหนี้นอกแต่หนี้เพื่อการบริโภค

หนี้เพื่อการบริโภค มันคืออะไร ?
หลักๆ เลย ก็คือ สินเชื่อส่วนบุคคล เช่น “บัตรกดเงินสด” หรือที่เรียกกันว่า “แคชทูโก” อีกส่วนก็คือเ “บัตรเครดิต” รวมอยู่ในหมวดหมู่นี้ด้วย แต่ว่าหลักๆ หนี้ก้อนใหญ่จนหน้ากังวลจริง ๆ คือ สินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งมันอาจจะมาในรูปแบบของ นาโนไฟแนนซ์ หรือที่เรารู้จักกัน ในชื่อ สินเชื่อเงินกู้สำหรับผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ หรือผู้มีรายได้ไม่แน่นอน หรืออีกรูปแบบหนึ่งก็คือ ดิจิตอลเรตติ้ง ที่ปัจจุบันตลาดเรียกกันว่า กู้ยืมเงินกันผ่านแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
แล้วเราจะหนีจากหนี้พวกนี้อย่างไร ? ในสภาพเศรษฐกิจอย่างนี้..
หลักคิดง่ายๆ คือ เขาสัดส่วนมีตัวเลขง่ายๆที่คิดว่ากำลังพอดีหรือว่าเยอะไป เช่น ถ้ารายได้ต่อเดือนเนี่ยเป็น 10,000 บาทแต่ภาระผ่อนต่อเดือนเกิน 7,000 บาท กลายเป็นภาระผ่อนต่อเดือนสูงมาก เป็นเหมือนทำงานมาเพื่อใช้หนี้อย่างนี้เรียกว่า “อันตราย” เพราะมีเท่าไรก็เอาไปจ่ายดอกเบี้ยหมด
ถ้าจำเป็นจะต้องผ่อนต่อเดือนต้องไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ที่มี
ภาระในการผ่อนต่อเดือนต่อรายได้ ควรจะไม่เกิน 45% เรียกว่าอยู่ในระดับที่กำลัง เหลือกินเหลือใช้ แล้วก็เหลือออมหรือลงทุนแล้วก็ไม่ได้จ่ายหนี้ไปทั้งหมด
หนี้ครัวเรือนที่สูงอย่างปัจจุบันนี้สามารถแก้ไขได้อย่างไร
ตอนนี้หนี้ครัวเรือนสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติการณ์และประวัติศาสตร์ ทิศทางในการแก้ ต้องใช้ความร่วมมือกัน เพราะว่า ปัญหาเรื่องหนี้ไม่ได้มาจากระบบธนาคารพาณิชย์อย่างเดียว เจ้าอื่นก็มีให้กู้ เช่น ธนาคารของรัฐ กลุ่มที่เป็นนอนแบงก์ หรือสหกรณ์ กลุ่มนี้ก็เป็นเจ้าหนี้ที่ก่อหนี้เหมือนกัน
จริง ๆ การแก้ปัญหาหนี้ต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้ เรียกว่า “ลดภาระผ่อน” ให้ทุกคนไปไหว คือจริง ๆ ทางธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีโปรแกรมหมอหนี้ ช่วยปรับโครงสร้าง ช่วยลดภาระหนี้ รวมหนี้ แล้วเราจะบริหารหนี้อย่างไร
1. ต้องตะหนักก่อนว่า ถ้ามีรายได้เข้ามา ถ้าเจอปัญหาหนี้ก็เอาไปจ่ายหนี้หมด อันนี้อยู่ไม่ได้ในระยะยาวแน่นอน ต้องกลับมาดู แล้วทำบัญชี รายรับ รายจ่าย ของเรา
2. ต้องพยายามปิดหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยสูงก่อน คือ พยายามรวมหนี้ เช่น ถ้าเกิดท่านมีหนี้บ้านหรือว่ามีรถยนต์ กลุ่มพวกนี้ดอกเบี้ยต่ำกว่าสินเชื่อส่วนบุคคลที่ดอกเบี้ยแบบนาโนไฟแนนซ์ ซึ่งอาจจะขึ้นตามที่กฎหมายกำหนดไว้ คือ ไม่เกิน 36% แต่ก็ยังจัดว่าสูงอยู่ ถ้าเทียบกับหนี้บ้าน หนี้รถยนต์ ที่อยู่กันประมาณ 6% – 8 % การรวมหนี้เข้ามา ปรับหนี้รวมให้เป็นก้อนเดียว จะทำให้ลดภาระดอกเบี้ยลง อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เขาเรียกว่า “การรวมหนี้” เป็นการลดภาระผ่อนต่อเดือนไปด้วย
การไม่มีหนี้ถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐ แต่ว่า ในยุคปัจจุบันมันเป็นสิ่งที่หลักหนีไม่ได้และส่งผลต่อการดำเนินชีวิตอย่างมาก สิ่งสำคัญ คือ การที่เราซึ่งอยู่ในฐานะ “ลูกหนี้” รู้ว่าหนี้ของตัวเองโดยรวมนั้นประกอบไปด้วยหนี้อะไรบ้าง นั้นเพราะว่าหนี้แต่ละก้อนนั้นจะมีสัดส่วนดอกเบี้ยที่ไม่เท่ากัน
ดังนั้นคำว่า “การบริหารหนี้” การรวมหนี้มาเป็นก้อนและสามารถบริหารจัดการได้ง่ายขึ้นรวมถึงสำคัญอย่างยิ่ง การเดินหน้าพูดคุยกับบรรดาเจ้าหนี้เพื่อที่จะได้หาวิธีร่วมกันในการแก้หนี้ตรงนั้นคือสิ่งสำคัญในการแก้หนี้
บริหารหนี้ ต้องดูว่าหนี้ก้อนไหนที่มีดอกเบี้ยสูงที่สุด เอาอันนี้เป็นหลักก่อน จากนั้นค่อยตัดสินใจจรวมหนี้เป็นก้อนเดียวกัน ตรงนี้หลายๆ คน อาจจะมองว่าลำบากมาก เพราะหนี้มันคนละเจ้ากันหมดเลย เช่น ซื้อบ้าน ซื้อรถ เป็นต้น แล้วหนี้แบบนี้มีวิธีการบริหารหนี้อย่างไร
ตอนนี้ทางธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงิน และธนาคารประเทศไทย ได้มีความร่วมมือกันปรับโครงสร้างหนี้และหลังจากการปรับโครงสร้างหนี้ ที่เรียกว่ามาจากคนแหล่งหนี้ โดยมีชื่อ “โครงการหมอหนี้เพื่อประชาชน” เว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย https://www.bot.or.th/app/doctordebt/ อันนี้ก็คือเป็นมีทางออก แต่ขณะเดียวกันก็มีความหมายว่าเราจะไปสร้างหนี้ใหม่ไม่ได้
ประเทศอื่น ๆ เวลาที่ประชาชนมีหนี้ครัวเรือนค่อนข้างเยอะ วิธีการจัดการเพื่อให้คนในประเทศ มีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่ลดน้อยลง ก็มีแนวทางคล้ายกัน คือ การรวมหนี้ เพื่อลดระดับดอกเบี้ยที่ดอกเบี้ยเป็นสูงๆ อย่างสินเชื่อส่วนบุคคล 20% – 30% ลดลงมาให้เหลือ 6% -8% เงินที่ผ่อนจะไปลดต้น ไม่ใช่เงินที่ผ่อนในแต่ละเดือนจ่ายแต่ดอกเบี้ย

ข้อแนะนำ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาหนี้ได้เร็วที่สุด
จริงๆ เจ้าหนี้อยากจะช่วยลูกหนี้อยู่แล้ว ระบบสถาบันการเงิน ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ผลักดันออกมาช่วงนี้ก็เพื่ออยากจะแก้ปัญหาหนี้ให้กับประชาชนทุกคน การติดต่อเจ้าหนี้ ไม่หนีปัญหาตรงนี้จะทำให้ท่านแก้ปัญหาได้เร็วขึ้น อย่าปฏิเสธปัญหาต้องยอมรับมันแล้วก็จัดการกับมัน
คำว่า “หนี้” ฟังดูน่ากลัวแต่ถ้าเราทำความเข้าใจกับมัน ก็มีวิธีการในการแก้ไขปัญหาและเป็นกุญแจดอกสำคัญในการแก้ไขปัญหา “หนี้ครัวเรือน” ได้ในระยะยาว
เรียบเรียงโดย : บ่าวหัวเสือ

ร่วมแสดงความคิดเห็น