ท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้น จากการพิจารณากฎหมายกัญชา ทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลเรื่องการนำกัญชาไปใช้อย่างผิดวิธี ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาได้
หากเรามองดูประโยชน์ของพืชชนิดนี้ ที่พึ่งถูกถอดออกจากรายชื่อยาเสพติดให้โทษ จะเห็นว่า เราสามารถนำไปใช้ในเชิงการแพทย์ได้ เนื่องจากสาร THC (Tetrahydrocannabinol) และ CBD (Cannabidiol) ซึ่งพบในกัญชานั้น สามารถนำมาใช้ลดการอักเสบ ลดการชักเกร็ง ช่วยให้สงบ ผ่อนคลาย และยังยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้องอกได้
ส่งผลให้ปัจจุบัน มีการลงทุนในการปลูกกัญชา รวมถึงกัญชง เพื่อนำไปใช้ในด้านการแพทย์มากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีบริษัทเอกชนรายใหญ่ 2 ราย เข้ามาตั้งโรงงานในพื้นที่จังหวัด เพื่อผลิตและกษส่งออกสารสกัดรวมถึงผลิตภัณฑ์จากกัญชาเพื่อการแพทย์
โดยรายแรกได้แก่ แอตแลนต้า เมดดิแคร์ ผู้ผลิตยารายใหญ่ของไทย ที่ได้รับสิทธิ์จัดจำหน่ายจาก อย. กำลังเตรียมก่อสร้างโรงงานปลูกกัญชาและผลิตยาจากกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์ บนพื้นที่กว่า 16 ไร่ ในอำเภอแม่แตง ด้วยงบลงทุนกว่า 700 ล้านบาท
พร้อมทั้งทำ MOU ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการสร้างสรรค์งานวิจัยเทคโนโลยีในการนำกัญชาไปใช้รักษาโรค ซึ่งคาดว่าโรงงานที่กำลังจะเปิด สามารถสร้างงานให้แก่บุคลากรด้านนี้ 60 – 70 คน และสามารถผลิตยากัญชาราว 280,000 ขวดต่อปี เพื่อรองรับความต้องการทางการแพทย์ที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด
และอีกบริษัทหนึ่งที่เข้ามาลงทุนด้านกัญชาในเชียงใหม่ คือ บริษัท ซาลัส ไบโอซูติคอล (ประเทศไทย) ซึ่งได้เข้ามาสร้างโรงงานผลิตยาสารสกัดจากกัญชาและกัญชงพร้อมพื้นที่เพาะปลูกในระบบปิด ในอำเภอดอยสะเก็ดแล้วตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2564 รวมถึงได้ทำระบบเกษตรพันธสัญญากับเกษตรกรจำนวน 14 ราย ในภาคเหนือตอนบนรวมทั้งในจังหวัดเชียงใหม่
โดยทางบริษัทจะเน้นไปที่เป้าหมายทั้งเป็น ผู้ผลิตยาแผนปัจจุบัน และผลิตสารสกัดจากกัญชงและกัญชารายแรกในประเทศไทย ในระดับเกรดพรีเมี่ยมที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์ ประมาณการว่าบริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจดังกล่าวราว 500-1,000 ล้านบาท
ในอีก 2 – 3 ปีข้างหน้านั้น มูลค่าตลาดธุรกิจกัญชาเพื่อการแพทย์ จะเพิ่มสูงขึ้นอีก 10,000 ล้านบาท หลัง 50 ประเทศทั่วโลกเตรียมที่จะปลดล็อกกัญชา ดังนั้นแล้ว นี่จึงเป็นโอกาสทองของผู้ประกอบการในการคว้าโอกาส ที่จะนำเม็ดเงินมหาศาลเข้ามา
ที่มา TNN , BBC , ประชาติธุรกิจ [1] , [2] , [3]
ร่วมแสดงความคิดเห็น