อบจ.-อบต-เทศบาลฯ รวมพลัง แก้ปมกระจายอำนาจท้องถิ่น

กรรมาธิการสันนิบาตจังหวัดภาคเหนือ เปิดเผยว่าตามที่สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)แห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตแห่งประเทศไทย และสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)แห่งประเทศไทย ลงนามบันทึกข้อตกลง เร่งเสนอยกร่างรัฐธรรมนูญหมวดการปกครองท้องถิ่น เพื่อการมีส่วนร่วมและกระจายอำนาจ ลดความเหลื่อมล้ำเศรษฐกิจ – สังคมในรูปแบบ”ท้องถิ่นรวมพลังเป็นหนึ่ง ก้าวข้ามความขัดแย้ง เป็นกลไกพัฒนาประเทศ เพื่อคุณภาพชีวิตประชาชนในทุกมิติ”นั้น อปท.กว่า 7 แห่ง เห็นพ้องต้องกัน ทั้งนี้แนวทางที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)จะรวมพลังกันแก้ไขนั้น แน่นอนว่าจะยืนหยัดบนพื้นฐานหลักการปัญหาความเป็นอยู่ของประชาชนต้องดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำ ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ทำหน้าที่เป็นกลไกและหน่วยงานหลักบริการสาธารณะหรือกิจกรรมสาธารณะในพื้นที่ สนับสนุนการทำงานของรัฐบาลตามหลักการกระจายอำนาจ ” ที่สำคัญคือจะร่วมกันผลักดัน ให้เกิดการปรับปรุง แก้ไขกฎหมาย ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ และระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมให้มีการกระจายอำนาจให้ อปท. ภายใต้หลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย ระบุว่า รัฐธรรมนูญในหมวดที่ เกี่ยวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นั้นต้องยอมรับว่าฉบับปี 2540 เป็นยุคทองของการปกครองท้องถิ่นและการกระจายอำนาจ ต่อมาฉบับปี 2550 เพิ่มบทบัญญัติใหม่ๆ ที่สำคัญคือเปิดโอกาสให้มีการจัดตั้ง องค์กรปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษขึ้นมา แต่ฉบับปี 2560 ไม่ได้ให้ความสำคัญในสิ่งที่ อปท.ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง หาก 3 องค์กรของ อปท.ไม่ว่าจะเป็น อบจ. เทศบาล และอบต. มีการบูรณาการทำงานร่วมกันในทุกมิติร่วมมือผลักดันแก้ไขสิ่งที่เป็นอุปสรรค ปัญหาในการปฏิบัติงานไม่ใช่ต่างคนต่างทำ มีเป้าหมายเดียวกัน ปัญหาต่างๆ ก็จะสามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ ปัจจุบันกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 คือปัจจัยที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าต้องปรับปรุง ให้มีประสิทธิภาพ ตามรูปแบบที่เป็นการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นอย่างแท้จริง

ปัจจุบัน อปท. กับส่วนราชกดารภูมิภาค มีขั้นตอน การปฎิบัติงานที่ทับซ้อนกัน ทั้งในงานภาคกิจหลัก ที่มีการถ่ายโอนมา ก็ยังต้องรายงาน แจ้งขออนุมัติจากอำเภอ จากจังหวัด เป็นขั้นตอนการทำงานที่เน้นพิธีกรรมมากไป ควรให้ท้องถิ่นมีกรอบ กฎหมายที่เป็นแนวทางปฏิบัติชัดเจน เป็นไปตามบริบทสังคมผู้บริหารท้องถิ่น ในพื้นที่ภาคเหนือ ( เชียงใหม่,ลำพูน ,แม่ฮ่องสอน ) เปิดเผยว่า เฉพาะเรื่องขยะ, เรื่องการจัดการศึกษา ควร ให้อิสระกับ อปท. ดำเนินการ เพราะสภาพภูมิสังคม แต่ละพื้นที่ บาง อปท. แทบไม่มีปัญหาขยะ ใช้ภูมิปัญญาเดิมๆจัดการขยะวัชพืช เป็นปุ๋ย หรือแม้แต่การศึกษา ตามความเหมาะสมของเยาวชนในท้องถิ่น ไม่จำเป็น ต้องจัดสรรงบที่มีจำกัดไปในกิจกรรมก่อสร้าง โครงการแหล่งเรียนรู้เสริมปัญญา เป็นไปตามกระแสแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ หลายๆกิจกรรมในท้องถิ่น ต้องแจกแจงรายงาน เน้นงานด้านเอกสารมากกว่า สำรวจ ตรวจสอบเชิงโครงสร้างของแต่ละอปท. และการบริการจัดการ อปท. ในด้านงบ ตามภารกิจ ก็ควรมีการปรับปรุง แก้ไข ไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำ บาง อปท.งบเกินความจำเป็น ใช้งบโดยไม่คุ้มค่า ในขณะที่บางแห่งมีงบจำกัด ซึ่งถ้ามีการกระจายอำนาจ มีการปรับปรุงกฎกติกาตามที่ อปท.นำเสนอ ไม่ต้องอยู่ภายใต้อาณัติ มหาดไทย มีการกระจายอำนาจ ในรูปแบบพิเศษ ในพื้นที่เหมาะสม ปัญหาที่สั่งสมมา น่าจะมี
การปลดล๊อค เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ” ทุกวันนี้ผู้บริหารท้องถิ่น ต้องปรับตัว ปรับรูปแบบการทำงาน ให้สอดรับทั้งจากอำเภอ จังหวัด และกรม ทั้งๆที่ เป็นภารกิจ กิจกรรม งานเดียวกัน แต่ต้องรับคำสั่งหรือ ขออนุมัติ รายงานจาก 3 แหล่ง ทั้งๆที่ อปท.ควรมีอิสระ ในการปฏิบัติงาน ภายใต้กฎหมาย กติกาที่ชัดเจนกว่านี้ การทับซ้อนกันระหว่าง ราชการส่วนภูมิภาค กับส่วนท้องถิ่นต้องแก้ไข ไม่ควรเพิกเฉยหรือ จุดประเด็น เป็นกระแส เฉพาะช่วงใกล้เลือกตั้งที่ว่าจะเร่งกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น ตามข้อเรียกร้อง “

ร่วมแสดงความคิดเห็น