เปิดพื้นที่ความเท่าเทียมทางเพศ ดันเศรษฐกิจโตอีกล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ทุกคนก็ต้องได้รับสิทธิต่างๆอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะผู้หญิง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันสังคมและเศรษฐกิจมาโดยตลอด แต่จากสถิติล่าสุดกลับพบว่า สัดส่วนสตรีไทยในภาคเศรษฐกิจ กลับน้อยกว่าเพศชายอยู่ ภาครัฐและประชาสังคมจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ ในทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อการผลักดันและพัฒนาการเงินในอนาคต

โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานว่า ในปี พ.ศ. 2564 ผู้หญิงไทยยังคงมีอัตราการมีงานทำต่อประชากร15 ปีขึ้นไป  ที่ต่ำกว่าแรงงานชายอยู่เหมือนเดิม นับย้อนหลังสถิติไป 5 ปี โดยผู้หญิงมีอัตราส่วนอยู่ที่ร้อยละ 58.3 ขณะที่ผู้ชายอยู่ที่ร้อยละ 74.3 โดยข้อมูลล่าสุดเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบันมีผู้หญิงที่ทำงานอยู่ในระบบเพียง498,096 คน น้อยกว่าผู้ชายซึ่งมีจำนวน 557,925 คน ที่ทำงานในระบบเช่นเดียวกัน

นอจากนี้ ข้อมูลยังแสดงให้เห็นว่า แรงงานผู้หญิงไทยส่วนใหญ่ทำงานในภาคบริการ การเกษตร และภาคการผลิตตามลำดับ นอกจากนี้ จากการสำรวจยังพบว่า ผู้หญิงไทย ยังต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆที่กระทบต่อการทำงาน เช่นค่าตอบแทนที่ไม่เท่าเทียม สภาพแวดล้อมและความปลอดภัยในการทำงาน

เพราะฉะนั้นแล้ว การสร้างความเท่าเทียมทางเพศ จึงเป็นเป้าหมายสำคัญของภาครัฐและภาคประชาสังคมไทย ซึ่งปัจจุบัน องค์การสหประชาชาติในประเทศไทย ได้ร่วมมือและสนับสนุนรัฐบาลไทย ในการดำเนินการตามกรอบความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน วาระปี พ.ศ. 2565 – 2569 

เพื่อให้บรรลุความมุ่งหมายอันสูงส่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนภายใน พ.ศ.2573 และก้าวขึ้นเป็นประเทศรายได้สูง มีการพัฒนาที่ครอบคลุม ยั่งยืน และมีภูมิคุ้มกันต่อวิกฤต กรอบความร่วมมือฯ ได้รับการออกแบบโดยอิงหลักการของสหประชาชาติที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หลักสิทธิมนุษยชน หลักความเสมอภาคทางเพศ หลักความยั่งยืน และหลักภูมิคุ้มกันต่อวิกฤต 

ปัจจุบันได้มีการบรรจุเป้าหมายดังกล่าวลงในร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งหนึ่งใน 17 เป้าหมายสำคัญนี้ ยังรวมไปถึงเป้าหมายที่จะบรรลุความเท่าเทียมระหว่างเพศ และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่สตรีและเด็กหญิง ดำเนินการปฏิรูปเพื่อให้ผู้หญิงมีสิทธิเท่าเทียมกันในทรัพยากรทางเศรษฐกิจ 

โดยนอกจากเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนแล้ว ยังได้มีการผลักดันนโยบายส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในภาคเศรษฐกิจ อย่าง เศรษฐกิจสีม่วง (Purple Economy) หรือเศรษฐกิจแห่งการดูแล เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ตระหนักถึงความสำคัญของเศรษฐกิจภาคบริการ ความเท่าเทียมทางเพศ การเพิ่มบทบาทสตรีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม

จากรายงานของ McKinsey Global Institute คาดการณ์ว่า หากมีความเท่าเทียมทางเพศในตลาดแรงงานแล้ว ช่วยให้ GDP ทั้วโลกเพิ่มขึ้นประมาณ 12 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือร้อยละ 11 ภายในปี พ.ศ. 2568 ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ และยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีแก่ทุกครัวเรือนได้

สำหรับประเทศไทยในขณะนี้ ได้เริ่มมีหน่วยงานจากภาครัฐ สนับสนุนการเพิ่มบทบาทสตรีไทยในภาคเศรษฐกิจมากขึ้น เช่น กระทรวงพาณิชย์ ที่ตระหนักถึงเป้าหมายดังกล่าว และได้เริ่มดำเนินการนโยบายต่างๆ อาทิ โครงการสร้างชุมชนสู่ออนไลน์สร้างรายได้ธุรกิจ (Digital Village by DBD) และ ตลาดเที่ยวได้สไตล์ไทยๆ (Village to Town) เพื่อให้แรงงานสตรีท้องถิ่น ได้เข้าถึงรายได้ และโอกาสจากการทำธุรกิจผลิตภัณฑ์ชุมนและการท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการดูแลท้องถิ่นอีกด้วย 

ในส่วนของต่างประเทศ ก็ได้มีการผลักดันนโยบายต่างๆ เพื่อลดช่องว่างระหว่างเพศในภาคเศรษฐกิจ อาทินโยบายสนับสนุนทางการเงินและพัฒนาทักษะให้กับผู้หญิง ของรัฐบาลสิงคโปร์ และการออกกฎหมายแรงงานให้มีความเท่าเทียม ของประเทศไอซ์แลนด์ เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า ความเท่าเทียมทางเพศ กลายเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนไปแล้ว ในยุคนี้ ซึ่งนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาสังคม ยังช่วยยกระดับมูลค่าทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนอีกด้วย 

ถึงแม้ว่าจะมีการนำเอาเป้าหมายดังกล่าวมาบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติแล้ว รวมทั้งเริ่มมีการดำเนินนโยบายโดยหน่วยงานรัฐ แต่นโยบายต่างๆที่ออกมา เพียงพอหรือไม่ ที่จะทำให้ประเทศบรรลุเป้าหมายทั้งความเท่าเทียมทางเพศและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ , สำนักงานแรงงาน จังหวัดเชียงใหม่ , สหประชาชาติ , มติชน

ร่วมแสดงความคิดเห็น