นโยบายกู้มาแจก 10,000 บาท กับ ดอกเบี้ย 14,000 ล้านบาท ต่อปีคุ้มไหม?

คุณรู้หรือไม่ 26 ปีที่แล้ว รัฐบาลไทยทำให้เรามีหนี้จากวิกฤตการเงิน 1,000,000 ล้านบาท ทยอยคืนเงินต้นและดอกเบี้ยไปแล้วก็ยังเหลือหนี้เงินต้นอีกกว่า 600,000 ล้านบาท ที่เป็นหนี้อยู่

ในตอนนี้ต้องบอกเลยว่าการแจกเงิน 10,000 บาท นั้นถือเป็นประเด็นที่หลายคนกำลังจับตามอง หลายคนกำลังตั้งคำถามว่าการแจกเงินด้วยวงเงินสูงถึง 560,000 ล้านบาท ในตอนนี้นั้นอาจเป็นความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจไทยได้ ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?

โลกเราในตอนนี้นั้นเรากำลังพบกับเหตุการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบกว่า 10 ปี ซึ่งสาเหตุที่อัตราดอกเบี้ยมาเร็วและแรงแบบนี้ก็คือ ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขาให้เหตุผลว่า “เขาจำเป็นที่จะต้องเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อที่จะสกัดกั้นเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงก่อนหน้านี้นั่นเอง”

เหตุการณ์นี้ต้องบอกว่าเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็ว จากที่ก่อนหน้านี้ 2 ปี ถ้าเราเอาเงินไปฝากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เราจะได้ดอกเบี้ยอยู่ที่ 0%  แต่วันนี้ถ้าเรานำฝากอัตราดอกเบี้ยนั้นจะสูงขึ้นไปเป็น 5.4% 

แต่ก่อนหน้านี้หลายๆ คนยังคงคุ้นชินกับบรรยากาศที่เงินในระบบมีอยู่ล้นเหลือจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐนั้นพิมพ์เงินผ่านการทำคิวอีเข้ามา ซึ่งพอเงินในระบบมีเยอะก็จะกดให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ แต่ว่าสภาพเวลานี้แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

สำหรับประเทศไทย ที่ผ่านมามีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามสหรัฐฯ ไปบ้างแล้ว โดยล่าสุดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยนั้นอยู่ที่ 2.5%  ก็ต้องบอกว่ายังต่ำกว่าดอกเบี้ยสหรัฐถึงเท่าตัวเลยทีเดียว 

แน่นอนว่าเมื่อเป็นแบบนี้เงินที่ปกติแล้วก็จะไหลไปหาที่ให้ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนสูงกว่าและภาพนี้มันก็สะท้อนให้เห็น ว่าค่าเงินบาทของไทยนั้นอ่อนค่าลงอย่างมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา

จนถึงตอนนี้ หลายคนคงจะพอเห็นภาพแล้ว ว่าเรานั้นกำลังอยู่ในยุคที่ดอกเบี้ยไม่ต่ำอีกต่อไปแล้ว ยิ่งมีเรื่องใหญ่มากระทบหลังจากนี้อัตราดอกเบี้ยของบ้านเรามีสิทธิที่จะปรับตัวสูงขึ้นไปอีก

คำถามก็คือว่าแล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับการแจกเงิน 560,000 ล้านบาท ?

คำตอบ ก็คือ การแจกเงินจำนวนมากขนาดนี้นั้นรัฐบาลต้องหาแหล่งเงินทุน ซึ่งแน่นอนว่าแหล่งเงินทุนตรงนี้ รัฐบาลก็บอกแล้วว่าต้องมาจากการกู้เงินไม่ว่าจะเป็นการกู้โดยตรง หรือว่าจะไปใช้เครื่องมือทางการเงินอื่นๆ แล้วก็ไปหาทางอ้อมมาเพื่อให้ได้มาซึ่งเม็ดเงินเหล่านี้

อย่างที่เราได้เห็นในข่าวตอนนี้ ก็คือ “กู้เงินจากธนาคารออมสิน” ซึ่งมีรัฐบาลถือหุ้นอยู่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน ที่บอกไปแล้วนั้นก็ล้วนแต่เป็นทางเลือกที่รัฐบาลนั้น ต้องเป็นหนึ่งในผู้ค้ำประกันจำนวนเงินกู้นั้นอยู่ดี

ปกติแล้วเวลาที่รัฐบาลจะทำการกู้เงินก็จะมีหนทางในการออกพันธบัตรรัฐบาลให้ตลาดเข้ามาซื้อ ซึ่งตลาดเขาก็จะเอาเงินก้อนนึงมาให้รัฐบาลกู้ แล้วรัฐบาลก็จะมีหน้าที่ในการจ่ายดอกเบี้ยตรงนี้ จนเมื่อพันธบัตรรัฐบาลนั้นครบกำหนดอายุรัฐบาลก็จำเป็นที่จะต้องคืนเงินต้นทั้งหมดให้กับตลาดไป

ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรที่เรากำลังพูดถึงอยู่ตอนนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างเดียว แต่ว่ายังขึ้นอยู่กับความคาดหวังของนักลงทุนในอนาคตด้วย 

ซึ่งความคาดหวังของนักลงทุนในอนาคตตรงนี้ก็มาจากหลายปัจจัยเช่นกัน หนึ่ง ในนั้นก็คือความต้องการใช้เงินจากภาครัฐในอนาคตเมื่อตลาดคาดหวังว่ารัฐบาลจะกู้เงิน 560,000 ล้านบาทมาแจกก็ทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น หรือทางการเงินที่เราได้ยินในข่าวบ่อยๆ ว่า “บอนด์ยีล (Bond Yield )” เพิ่มขึ้น

ซึ่งหมายความว่า “บอนด์ยีล” ของพันธบัตรระยะยาวของไทยนั้นปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเราเห็นตัวเลขการปรับขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมาแล้ว 

ยังมีความเป็นไปได้สูงมากที่รัฐบาลไทยนั้นจะเริ่มการแจกเงินจำนวนมากนี้ ซึ่งแปลว่าต้นทุนของรัฐบาลไทยตอนนี้ จริงๆแล้วไม่ใช่รัฐบาลไทย 

แต่นั้น หมายถึง ประชาชนคนไทยทุกคนจะมีต้นทุนในการแบกหนี้ไม่ใช่แค่เงินต้น 560,000 ล้านบาทที่เขาอยากจะเอาไปแจกจ่ายประชาชน แต่ยังต้องบวกค่าดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นไปด้วย

 ถ้าเราอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปัจจุบันที่อยู่ที่ 2.5% มาคูณกับเงินต้นที่ 560,000 ล้านบาท ก็จะทำให้เรานั้นมีต้นทุนจากดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 14,000 ล้านบาท ต่อปีกันเลยทีเดียว

แล้วรู้หรือไม่ว่าจากเหตุการณ์ต้มยำกุ้งเมื่อ 26 ปีที่แล้วคนไทยเราเองก็เคยมีหนี้ลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นเหมือนกันตอนนั้นรัฐบาลไทยมีหนี้แบบนี้มูลค่า 1,000,000 ล้านบาท ในกองทุนฟื้นฟู เอฟไออีเอฟ ผ่านมาเป็น 20 ปีแล้ว ตอนนี้เงินต้นของหนี้ก้อนนี้ก็ยังเหลืออยู่สูงถึง 600,000 ล้านบาท ปีที่แล้วแค่ค่าดอกเบี้ยอย่างเดียวก็ปาเข้าไป 19,000 ล้านบาทแล้วและกว่านี้ก้อนนี้จะหมดก็คาดว่าต้องใช้เวลาอีก 10 ปีกันเลยทีเดียว

ที่สำคัญก็คือเรารู้ไหมว่ารัฐบาลเอาเงินที่ไหนมาจ่ายหนี้กองทุนฟื้นฟูก่อนนี้ คำตอบ ก็คือเงินฝากของพวกเราจำนวน 0.46% นั่นเอง 

หลายคนอาจจะสงสัยว่าเงินฝากของพวกเรา 0.46% นั้นคืออะไร 

ลองจินตนาการดูว่าถ้าย้อนกลับไป 26 ปีที่แล้วเราไม่เจอวิกฤตต้มยำกุ้งทุกวันนี้เงินฝากออมทรัพย์ที่เราได้เราจะได้ดอกเบี้ยเท่าใดในวันนี้บวกกับ 0.46% เพิ่มเติมขึ้นมา

ดังนั้นคงไม่ใช่เรื่องผิดถ้าเราจะบอกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งที่เกิดขึ้นเมื่อ 26 ปีที่แล้วแผ่นดินเศรษฐกิจที่สร้างภาระให้กับคนไทยทั้งประเทศ ยาวมาจนถึงคนรุ่นเราในยุคนี้และคงปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าหนี้ก้อนนี้ก็ยังคงสร้างภาระให้กับพวกเราทุกคนต่อไปในวันหน้าเช่นกัน

ทุกวันนี้ก็คงเปรียบเหมือนคนไทยที่มีเงินฝากนั้นต้องเสมือนเสียค่า Subscription 0.46% ต่อปี ถ้าฝากเงิน 10,000 บาทก็ถือว่าเสียค่าสมาชิกปีละ 46 บาท แต่ถ้าฝากเงิน 100,000 บาท ก็ถือว่าเราต้องเสียค่าสมาชิกตรงนี้อีกละ 460 บาท 

กลับมาที่ปัจจุบัน คำถาม ก็คือ เรากำลังสร้างหนี้ก้อนใหญ่ขึ้นมาเหมือนกับ 26 ปีที่แล้วอยู่หรือเปล่า? หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่าแล้วหนี้ 560,000 ล้านบาทตรงนี้มูลค่ามันมหาศาลขนาดไหน ลองมาเปรียบเทียบให้ดูง่ายๆกันงบประมาณ

สร้างสนามบินสุวรรณภูมิ                 120,000         ล้านบาท

ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3                 110,000         ล้านบาท

รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้                 100,000         ล้านบาท

รถไฟฟ้าสายสีแดง                         96,000         ล้านบาท 

รถไฟฟ้าสายสีชมพู                         53,000         ล้านบาท

รถไฟฟ้าสายสีเหลือง                 50,000         ล้านบาท

สถานีรถไฟกลางบางซื่อ                 16,000         ล้านบาท

เงินที่รัฐบาลกำลังแจกตอนนี้สามารถนำเงินทั้งหมดนี้ไปสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่บอกไปข้างต้นทั้งหมดได้แล้วยังเหลือเงินทอนด้วย

ในขณะที่รัฐบาลนั้นกำลังจะแจกจ่ายเงินก้อนนี้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการบริโภคในระยะสั้น ซึ่งก็คาดหวังว่าจะทำให้เกิดตัวเมาร์ติพลายเออร์ในระบบเศรษฐกิจต่อไป นั่นหมายความว่า ทุกๆ 100 บาท ที่ใช้ไปในระบบเศรษฐกิจมันจะไม่จบแค่ 100 บาท มันจะถูกหมุนไป คูณ 2 เท่า คูณ 3 เท่า ไปเรื่อยๆ

ซึ่งจริงๆ แล้วภาพนี้ถ้ามองในมุมของนักเศรษฐศาสตร์หลายๆ ท่านที่ออกมาให้ความเห็นต้องบอกว่าทำได้ สถานการณ์ที่เหมาะสมนั้นมักจะทำในช่วงที่เศรษฐกิจนั้นกำลังเกิดภาวะวิกฤติ  นั้นหมายความว่า เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ก็อยู่ในระดับต่ำเช่นกัน

แต่วันนี้สำหรับประเทศไทยเราเองอาจจะไม่ใช่สถานการณ์แบบนั้น เพราะปัจจุบันนั้นประเทศไทยของเราไม่ได้กำลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แต่เรามีความกดดันจากอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกในตอนนี้ ที่อยู่ในระดับที่สูงและเมื่อรัฐบาลตัดสินใจแจกเงินแบบนี้ แน่นอนละว่ามันก็จะส่งผลให้เงินเฟ้อระบบเศรษฐกิจไทยนั้นปรับตัวสูงขึ้น แล้วเงินเฟ้อของไทยปรับตัวสูงขึ้น 

นั้นทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยิ่งจำเป็นจะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดเงินเฟ้อนั้น อย่างที่เราเห็นที่ชัดเจนก็คือการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำพวกอสังหาริมทรัพย์ความลำบากเลยไปตกที่คนกู้เงินเพื่อสร้างบ้านหรือชื้อบ้านอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้

ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ดอกเบี้ยนโยบายอย่างเดียวที่ปรับตัวขึ้นต้นทุนทางธุรกิจของภาคเอกชนต่างๆ ก็ต้องปรับตัวขึ้นตามไปด้วย 

ลองนึกสภาพดูว่าตอนนี้ภาคธุรกิจหลายแห่งที่ต้องระดมเงินทุนผ่านการออกหุ้นกู้ เจอปัญหาที่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นอย่างเดียวไม่พอ บางธุรกิจถึงขนาดที่ไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ยแล้วก็เจอปัญหาขาดสภาพคล่องแล้วด้วยซ้ำไป

แน่นอนเพราะว่าข้อดีของการแจกเงินเข้ามาในระบบ ก็คือ การคาดหวังที่จะให้เมอร์ติไฟล์เออร์เอฟเฟคมากกว่า หนึ่ง แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าจะมากกว่าหนึ่ง ได้จริงหรือเปล่า 

แต่สิ่งที่เรารู้กันแน่ๆ ถึงทำได้ผลจริงๆ การกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นก็จะเกิดขึ้นในระยะที่ค่อนข้างสั้นมาก อาจจะอยู่ได้ไม่กี่ปี เพราะว่าบรรดาฝั่งของการผลิตหรือว่าฝั่งคนขายเขาก็จะเร่งการผลิตออกมาเพื่อรองรับกับความต้องการ

ในที่สุดแล้วเมื่อความต้องการตรงนั้นหมดกำลังการกระตุ้นไป ของที่ถูกสั่งผลิตหรือว่าถูกสั่งมาขายก็จะเหลืออยู่ในระบบและกลายเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจตามมาต่อไป

อีกประเด็นก็คือ “การพัฒนาระบบบล็อกเชนเข้ามารองรับการแจกเงิน” ซึ่งหากทำได้จริงต้องใช้เวลา แล้วก็เงินทุนในการพัฒนารวมไปถึงความเสถียรของระบบการจ่ายเงินหรือบล็อกเชนสำหรับคน 50 กว่าล้านคนทั่วประเทศนั้น ต้องบอกว่าไม่เคยมีประเทศไหนทำมาก่อนแปลว่าประเทศของเรากำลังจะเป็นหนูทดลองตัวใหญ่

ซึ่งแปลกดีเหมือนกันทั้งที่ประเทศไทยก็มีระบบการจ่ายเงินด้วยพร้อมเพย์ในเป๋าตังอยู่แล้วทำไมต้องพัฒนาขึ้นมาใหม่? 

สุดท้ายนั้นก็คงต้องฝากทางเลือกให้กับรัฐบาลว่าการจ่ายเงินตอนนี้ก็เปรียบเหมือนการฉีดยากระตุ้นเศรษฐกิจ การฉีดยาครั้งนี้นั้นมันก็มีเอฟเฟคพอสมควร แต่เราก็คงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจคึกคักในระยะสั้นกับการทิ้งภาระไว้ให้ลูกหลานมาคอยใช้หนี้ก้อนใหญ่ให้เราในอนาคต

หรืออีกแง่หนึ่ง เราจะนำเงินก้อนนี้มาทำอย่างอื่น อย่างเช่นการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตเพื่อที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศไทย เพื่อไว้ให้ลูกหลานของเราในอนาคตมาแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ไว้ได้

หรืออีกทางหนึ่ง ถ้ารัฐบาลไทยในเวลานี้อาจจะชะลอการแจกเงินก้อนนี้ไว้ก่อนแล้วก็รอเก็บกระสุนล็อตนี้ไว้ใช้เมื่อยามจำเป็นหรือ อย่างเช่น เมื่อยามที่เราเกิดวิกฤตเศรษฐกิจจริงๆ ก็อาจจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกว่านี้ก็ได้เช่นกัน 

26 ปีที่แล้ว รัฐบาลไทยทำให้เรามีหนี้จากวิกฤตการเงิน 1,000,000 ล้านบาท และตอนนี้เราทยอยคืนเงินต้นและดอกเบี้ยไปแล้วก็ยังเหลือหนี้เงินต้นอีกกว่า 600,000 ล้านบาท ระหว่างทางเราก็มีโครงการต่างๆสร้างนี้เรื่อยมาทีละหลายแสนล้านบาท เยอะที่สุดก็ช่วงโควิดที่เราเจอล็อกดาวน์ไปตอนนั้นเราก็สร้างหนี้เพิ่มสูงถึง หนึ่ง ล้านล้านบาท

คำถามก็คือว่าเรากำลังสร้างนี้อีก 560,000 ล้านบาท ทั้งๆที่เราไม่ได้มีวิกฤตอะไรจริงหรือเปล่า?

ซึ่งตอนนี้เราอาจกำลังกดปุ่มเพิ่มตัวเลขนี้ทางอ้อมให้กับลูกหลานของเราโดยทั้งที่จริงนั้นเขามีสิทธิ์ที่จะเกิดมาแล้วก็ไม่ต้องรับภาระหนี้ก้อนนี้ก็ได้เช่นกันทั้งหมดนี้อดคิดไม่ได้ว่า เราเดินทางมาไกล 26 ปีที่ผ่านมาเพียงเพื่อที่จะย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ที่จุดเดิมอีกครั้งหรือเปล่า…

เรียบเรียงโดย : บ่าวหัวเสือ

ร่วมแสดงความคิดเห็น