หนี้ครัวเรือนลดลงเร็วกว่าการคาดการณ์

ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่าอัตราหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยต่อ GDP จะลดลงไวกว่าการประเมินครั้งก่อน เนื่องจากความพยายามในการลดหนี้ และ โครงการบรรเทาหนี้

ตามการรายงานของเสถียรภาพทางการเงินของธนาคารกลางในปี 2567 อัตราหนี้ครัวเรือนต่อ GPD ได้ลดลงเนื่องจากมาตรการการลดหนี้ที่กำลังดำเนินอยู่ในตอนนี้ ซึ่งส่งผลให้ผลิตภัณฑ์สินเชื่อผู้บริโภค โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์และ บัตรเครดิต เติบโต

อย่างไรก็ตามสินเชื่อรถยนต์ และ สินเชื่อสหกรณ์ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ภาคครัวเรือน

แม้ว่าอัตราหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยจะลดลงไปอยู่ที่ 89.6% ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 ลดลงจาก 91.3% ในท้ายปี 2566 อัตราที่ลดลงแล้วก็ยังถือว่าสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

ในไตรมาสแรกของปี 2566 ประเทศไทยมีอัตราหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 90.7% เทียบกับ มาเลเซีย 66.5%, จีน 62%, สิงคโปร์ 48.4% และ เกาหลีใต้ 101.5%

ตามการรายงาน โครงการบรรเทาหนี้ “คุณสู้ เราช่วย” ที่ได้เริ่มโครงการเมื่อเดือนที่แล้วนั้นถูกคาดการณ์ว่าจะช่วยสนับสนุนการลดหนี้ในภาคครัวเรือน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการลดหนี้รายจ่ายในแต่ละเดือน และ ดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง จะช่วยผู้กู้ยืมลดภาระหนี้ได้เร็วมากขึ้น ตามการรายงาน

ธนาคารกลางจะดำเนินการการสังเกตการณ์ ผลกระทบของการลดหนี้ โดยเฉพาะผลกระทบต่อสภาพคล่องของครัวเรือน

ถ้าความเร็วในการลดหนี้เพิ่มขึ้นมากเกินไปท่ามกลางการเติบโตของรายได้ที่ต่ำ อาจนำไปสู่การขาดแคลนสภาพคล่องในภาคครัวเรือน ส่งผลเสียให้การบริโภคภายในประเทศ และ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กว้างขึ้น

หนี้ครัวเรือนที่สูงบวกกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าทำให้ความสามารถในการจ่ายหนี้ของธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (SMEs) ลดลง ทำให้ธุรกิจเหล่านั้นเปราะบางลง คุณภาพของทรัพย์สินของผู้ยืมที่เปราะบางเหล่านี้จะเสื่อมราคาลงอีกด้วย

“จำนวนของธุรกิจ SMEs ท้องถิ่นที่มีสถานะการเงินที่อ่อนแอยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง SME ขนาดเล็ก และ ขนาดเล็กมาก ที่มีอัตราส่วนความคุ้มครองดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า 1 คิดเป็น 28% และ 74% ตามลำดับ” ตามการรายงาน

ในขณะที่ บริษัทขนาดใหญ่ในท้องถิ่นต่างๆ ชะลอการออกตราสารหนี้ใหม่เนื่องจากระดับหนี้ที่สูง ครอบคลุมทั้งสินเชื่อและพันธบัตร แม้ความสามารถในการจ่ายหนี้คืนยังคงแข็งแรงอยู่

ณ ไตรมาสที่ 2 ของปีที่แล้ว อัตราหนี้ต่อ GDP ของภาคธุรกิจนั้นอยู่ที่ 86.5% ลดลงจาก 89.9% ในช่วงที่เกิดโรคระบาด

สถานะทางการเงินของระบบในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะตึงตัวมากขึ้น ด้วยการเฝ้าระวังของธนาคารกลางต่อสถานการณ์

ตามการรายงาน ระบบการเงินของประเทศและสถาบัน รวมถึง ธนาคาร, สหกรณ์, บริษัทประกัน ยังคงแข็งแรง และ ทำหน้าที่ได้ดี โดยไม่มีสัญญาณของฟองสบู่ราคาสินทรัพย์

ที่มา: https://www.bangkokpost.com/business/general/2933626/household-debt-falls-faster-than-expected?tbref=hp

ร่วมแสดงความคิดเห็น