สภาฯ หนุนข้อเสนอ กมธ.มั่นคงฯ ปฏิรูปตำรวจ — ชง “ยุบตำรวจภูธรภาค–บช.น. 1–9” ลดซ้ำซ้อน โอนกำลังลงพื้นที่บริการประชาชน
เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติ “รับทราบและเห็นด้วย” กับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเสนอให้ ยุบหน่วยงานที่มีภารกิจซ้ำซ้อนและหมดความจำเป็นภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 และปรับโครงสร้างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
รายงานและข้อสังเกตดังกล่าวถูกส่งเข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ ตามข้อบังคับการประชุมข้อ 105 วรรคสาม ประกอบข้อ 88 โดยสภาฯ มีมติให้ส่งข้อสังเกตนี้ต่อไปยังคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป

สาระสำคัญของข้อเสนอคณะกรรมาธิการฯ มุ่งเน้นไปที่การปรับลดระดับหน่วยงานที่ทำหน้าที่ซ้ำซ้อนกับสถานีตำรวจ ซึ่งเป็นระดับปฏิบัติที่กฎหมายใหม่ให้ความสำคัญ โดยเสนอให้ “ยุบ” หน่วยงานหลัก 2 กลุ่ม ได้แก่
- ตำรวจภูธรภาค 1–9
ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2567 ตำรวจภูธรภาคมีหน้าที่ด้านธุรการ การจัดระบบงานและบริหารงานบุคคล การข่าว สถิติ การเงิน บัญชี งบประมาณ วินัย งานชุมชนสัมพันธ์ และงานสวัสดิภาพเด็กและสตรี เป็นต้น ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ เห็นว่า ภารกิจเหล่านี้ซ้ำซ้อนกับงานของสถานีตำรวจภูธรและหน่วยงานส่วนกลางหลายส่วน อีกทั้งกฎหมายตำรวจฉบับปัจจุบันเน้นการกระจายอำนาจไปยังสถานีตำรวจ เพื่อให้บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงเสนอให้ ยุบตำรวจภูธรภาคทั้ง 9 ภาค และโอนกำลังเจ้าหน้าที่ลงมาปฏิบัติราชการในระดับสถานีตำรวจ
- กองบังคับการตำรวจนครบาล 1–9
กองบังคับการตำรวจนครบาลมีภารกิจด้านการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ รักษาความสงบเรียบร้อย และปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ เห็นว่า หน้าที่เหล่านี้ซ้ำซ้อนกับสถานีตำรวจนครบาลและหน่วยงานอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงเสนอให้ ยุบกองบังคับการนครบาล 1–9 และโอนกำลังเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติราชการในสถานีตำรวจนครบาลโดยตรง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวของการบริการประชาชน

ข้อเสนอของคณะกรรมาธิการฯ ครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญของกระบวนการ “ปฏิรูปตำรวจ” ที่ถูกผลักดันตามยุทธศาสตร์ชาติและพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติฉบับใหม่ โดยมุ่งปรับโครงสร้างจากระบบรวมศูนย์ในส่วนกลางและระดับภาค มาสู่ระบบที่เน้นการทำงานของสถานีตำรวจเป็นหลัก ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด
ขณะนี้อยู่ระหว่างการส่งเรื่องให้คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป หากข้อเสนอได้รับการตอบรับ อาจส่งผลให้เกิดการปรับโครงสร้างครั้งสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งในด้านกำลังคน ระบบงาน และงบประมาณ เพื่อให้ตอบสนองต่อประชาชนได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น




ร่วมแสดงความคิดเห็น