แพทย์ทหารเตือน “โรคเฮอร์แปงไจนา (Herpangina) โรคติดเชื้อไวรัสที่เป็นอันตรายกับลูกน้อย
เฮอแปงไจน่า (Herpangina) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส Enterovirus โดยเกิดในระบบทางเดินอาหารเป็นสำคัญ ไวรัสในกลุ่มนี้มีหลายขนิด หลายสายพันธุ์ การป่วยเป็นโรคนี้ แล้วครั้งหนึ่งก็จะทำให้มีภูมิคุ้มกัน และไม่เป็นโรคจากไวรัสสายพันธุ์เดิมนี้ได้อีก แต่ก็มีโอกาสเป็นซ้ำจากการติดไวรัสสายพันธุ์อื่น สามารถพบได้ทุกช่วงอายุ แต่พบมากในเด็กเล็กอายุไม่เกิน 5 ปี แพร่ได้ง่ายโดยผ่านทางน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ อุจจาระ หรือการแพร่เชื้อที่ปนเปื้อนมาในน้ำ อาหาร ภาชนะ มือ ของเล่น โต๊ะเก้าอี้ จึงมักพบในโรงเรียน หรือสถานรับเลี้ยงเด็ก ซึ่งไวรัสกลุ่มนี้มีศักยภาพสูงมากในการก่อโรค การได้รับเชื้อเพียงแค่ 10-100 ตัวก็สามารถเกิดการติดเชื้อได้ ซึ่งหากสังเกตุพบว่าเด็กมีแผลขนาดเล็กในลำคอ มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ไม่ยอมกินข้าว อาจมีการอาเจียน เด็กเล็กจะซึม และงอแง สำหรับเด็กโตมักพบอาการเจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดคอ แต่โรคนี้ไม่รุนแรง สามารถหายได้เองภายใน 7-10 วัน โดยพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน และฤดูร้อน

อาการของโรคเฮอแปงไจน่า (Herpangina) ได้แก่
1) ผู้ป่วยจะมีแผลในปาก ที่บริเวณเพดานปาก ลิ้นไก่ ด้านหลัง ของคอหอยแต่จะไม่มีมีผื่นสีแดง หรือ ตุ่มน้ำ ที่บริเวณฝ่ามือ และฝ่าเท้า
2) อาจมีไข้สูงกว่าโรคมือเท้าปาก
3) อาการไข้จะลดลง ภายใน 2-4 วัน
4) แผลในปาก อาจคงอยู่ได้ ประมาณ 1 สัปดาห์
การป้องกันโรค และการรักษาโรค ดังนี้
1) เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนในการป้องกันโรคนี้ คุณพ่อคุณแม่จะต้องดูแลเรื่องสุขอนามัย หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะก่อนหลังรับประทานอาหาร รวมถึงก่อนปรุงอาหาร ผู้ที่ดูแลเด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้ ต้องล้างมือก่อนและหลังการเปลี่ยนผ้าอ้อม ชุดชั้นในเด็ก หรือหลังการสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ อุจจาระของเด็ก หมั่นทำความสะอาด พื้น โต๊ะ เก้าอี้ ของเล่น และวัสดุอื่นที่เด็กชอบหยิบจับ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อบ่อยๆ และหากเด็กป่วยเป็นโรคเฮอแปงไจน่า ต้องหยุดเรียน 1 สัปดาห์ เพื่อไม่ให้แพร่เชื้อ
2) ให้ยาลดไข้ พาราเซตามอล หรือให้ไอบูโปรเฟน ในกรณีเด็กมีไข้สูง 5 องศาขึ้นไป โดยต้องมีการเช็ดตัวร่วมด้วยเสมอจนกว่าไข้จะลดลงให้เด็ก จิบ ดื่มน้ำเย็นบ่อยๆ หรือดื่มนมเย็นที่มีรสไม่หวานมากกินน้ำแข็ง หรือไอศครีมที่มีรสชาติไม่เปรี้ยวและไม่หวานมาก ให้อาหารจืด อ่อน ย่อยง่าย
3) ในกรณีที่เด็กไม่ยอมรับประทานอาหาร แพทย์อาจใช้ยาที่มีส่วนผสมของยาชาแต่หากเด็กมีไข้สูง ได้ยาลดไข้แล้วไม่ดีขึ้น เด็กมีอาการชักจากไข้สูง ไม่ยอมดื่มน้ำ นม หรือรับประทานอาหารได้น้อยมาก มีภาวะขาดน้ำที่เห็นได้ชัด เช่น ปัสสาวะน้อยและมีสีเข้มมาก ริมฝีปากแห้ง ตาโหลลึก ซึมผิดสังเกตุ หรือแสดงอาการกระสับกระส่าย ผู้ปกครองควรรีบพาเด็กมาพบแพทย์โดยเร็ว

ในการนี้ พลโท อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ แม่ทัพภาคที่ 3/ผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กองทัพภาคที่ 3 และแพทย์ทหาร มีความห่วงใยต่อข้าราชการทหาร ในสังกัดกองทัพภาคที่ 3 รวมทั้งพี่น้องประชาชน และบุตร หลาน ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ จึงขอให้ประชาชนระมัดระวังภัยสุขภาพดังกล่าว โดย “ขอเน้นย้ำผู้ปกครอง และครูช่วยกันดูแลสังเกตอาการของเด็กอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ หากพบว่ามีอาการข้างต้น ให้พิจารณาหยุดเรียนและรักษาจนหาย ควรแจ้งให้ทางโรงเรียนและศูนย์เด็กเล็กทราบ เพื่อทำการค้นหาเด็กที่อาจป่วยเพิ่มเติม” หากพบว่าตนเอง หรือคนรอบข้างมีอาการสงสัยว่าตนเองมีอาการป่วย ควรรีบไปพบแพทย์ได้ที่โรงพยาบาลทหารทั้ง 10 แห่งในพื้นที่ภาคเหนือ, สถานบริการสาธารณสุขของรัฐใกล้บ้าน เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย และรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

คณะบรรณาธิการข่าว กองทัพภาคที่ 3
8 กันยายน 2565
ร่วมแสดงความคิดเห็น