(มีคลิป) ชาวไร่ยาสูบเชียงราย บุกศูนย์ดำรงธรรม จี้คลังขึ้นราคารับซื้อ

YouTube video

ชาวไร่ยาสูบเชียงราย บุกศูนย์ดำรงธรรม จี้คลังขึ้นราคารับซื้อ สะท้อนต้นทุนจริง

เวลา 10.00. น. วันที่ 31 ส.ค. 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวแทนชาวไร่ยาสูบเวอร์จิเนียจังหวัดเชียงรายนัดดีเดย์ บุกศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงราย ยื่นหนังสือถึง รมต.คลัง เหตุ ยสท.กดราคารับซื้อ ไม่คุ้มค่าแรงงาน-ปุ๋ยที่สูงขึ้น ซ้ำตัดโควตาลงอีก 25% ทำชาวไร่น้ำตาตก วอนคลังฯ ช่วยเหลือด่วน ทบทวนราคาใบยาใหม่ให้สะท้อนต้นทุนจริง

นายกิตติทัศน์ ผาทอง ตัวแทนสมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบ จ.เชียงราย นำชาวไร่กว่า 200 คน เข้ายื่นหนังสือถึงนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผ่านนายสมบูรณ์ กิจไพศาลเจริญ ผอ.ศูนย์ดำรงธรรม จ.เชียงราย เพื่อขอให้ช่วยเหลือจากปัญหาต้นทุนการผลิตใบยาสูบที่เพิ่มสูงขึ้น และการลดโควตารับซื้อใบยาพันธุ์เวอร์จิเนียสำหรับฤดูกาลผลิต 2565/66 ว่า

นายณรงค์ศักดิ์ กิจพิทักษ์ ประธานเครือข่ายชาวไร่ยาสูบจังหวัดเชียงราย เผยว่า ในวันนี้ตัวแทนชาวไร่ยาสูบ สมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบในจังหวัดเชียงรายและพะเยา ได้มารวมตัวกันเพื่อยื่นหนังสือชี้แจงความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรชาวไร่ยาสูบผ่านทางศูนย์ดำรงค์ธรรม ประเด็นปัญหาที่เกษตรกรชาวสวนยาสูบเจอมีอยู่ 2 เรื่องหลัก กล่าวคือ ประเด็นแรกคือ ต้นทุนการผลิตของชาวสวนยาสูบที่เพิ่มขึ้น ทั้งค่าปุ๋ย ค่าแรง ค่าฟืน ชาวไร่ยาสูบอยากให้การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ได้เข้ามาข่วยเหลือดูแลในเรื่องต้นทุนการผลิตให้เหมาะสม สอดคล้องกับความเป็นจริงตามท้องตลาด ประเด็นที่ 2 คือ ชาวไร่ยาสูบต้องการให้ ยสท. ชะลอการปรับลดโควต้าในการรับซื้อผลผลิตในรอบปี 2565/66 ออกไปก่อน เนื่องจากชาวไร่ได้รับผลกระทบจากการปรับลดโควต้าและเพิ่มภาษีมาตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งตอนนั้นมีการปรับลดโควต้าถึง 46% และรอบปีการผลิตที่จะถึงนี้ก็จะมาปรับลดอีก 25% ก็จะส่งผลกระทบต่อชาวไร่ ทำให้ไม่มีงบประมาณในการผลิตในรอบปีต่อไป ซึ่งทั้ง 2 ประเด็นเป็นปัญหาที่ชาวไร่ยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนียพบเจอเหมือนๆกันทั้งภาคีเครือข่ายผู้ปลูกผู้ค้ายาสูบทั่วประเทศ จึงเป็นสาเหตุให้ชาวไร่ยาสูบได้นัดหมายกันมายื่นหนังสือผ่านศูนย์ดำรงธรรมทั้ง 6 จังหวัดภาคเหนือ

จ.เชียงราย มีจำนวนผู้ปลูกยาสูบประมาณ 1,000 ราย มีพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 15,000 กว่าไร่ พื้นที่ที่ปลูกมากที่สุดคือ อ.แม่ลาว, อ.แม่สาย, และ อ.แม่จัน และนอกนั้นจะกระจายไปตามอำเภอต่างๆทั่วทั้งจังหวัด ในปี พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา ทาง ยสท. ได้รับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ จ.เชียงราย ประมาณ 3 ล้านกว่ากิโลกรัม แต่ปีนี้ลดโควต้ารับซื้้อเหลือเพียง 1.3 ล้านกิโลกรัม หายไปกว่า 25% ถือว่าเป็นผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชาวสวน เพราะยาสูบไม่เหมือนพืชชนิดอื่น เกษตรกรจะต้องไปลูกเต็มอัตราที่ทางโรงบ่มจะรับได้ หากปลูกน้อยโรงบ่มก็จะไม่คุ้มกับการบ่มแต่ละครั้ง ในปีหนึ่งๆ ยสท. มีรายได้จากจำหน่ายยาสูบปีละประมาณ 60,000 ล้านบาท แต่ค่าชดเชยสำหรับเกษตรกรซึ่งถือเป็นต้นน้ำของกระบวนการผลิตแค่เพียง 1,000 ล้านบาท อยากให้ทางรัฐบาลและการยาสูบแห่งประเทศไทย ให้ความสำคัญกับตัวเกษตรกรซึ่งเป็นต้นน้ำของการผลิตให้มากกว่านี้ ถ้าหากหนังสือที่ยื่นในวันนี้ไม่มีหน่วยงานไหนให้ความสำคัญ ก็คงจะต้องมีการขับเคลื่อนขบวนเกษตรกรเข้าสู่ กทม. เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเกษตรกรชาวไร่ให้สามารถอยู่กับอาชีพนี้ได้ในอนาคต

ด้านนายสุพจน์ เดชอูป กรรมการเครือข่ายชาวไร่ยาสูบ จ.เชียงราย กล่าวว่า ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรชาวไร่ยาสูบจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนหนึ่งจะเป็นค่าแรง ค่าปุ๋ย และค่าบริการจัดการทั้งหมด ในปีที่ผ่านมาชาวไร่ยาสูบมีต้นทุนการผลิตอยู่ประมาณไร่ละ 116 บาท แต่ ยสท.รับซื้ออยู่ที่กิลกรัมละ 120 กว่าบาท ก็จะเหลือกำไรอยู่เพียงนิดเดียว แต่บางรายได้โควต้าแค่ 1,000 กิโลกรัม ต้องใช้เวลาเพาะปลูก 6 เดือน ทำให้ปีหนึ่งมีรายได้แค่ 3-4 พันบาท ซึ่งไม่สมดุลกับต้นทุนการผลิต และเมื่อคำนวนต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเป็นเงินอยู่ 16 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งค่าปุ๋ยที่ราคาเพิ่มสูงถึง 70% ซึ่งยาสูบต้องใช้ปุ๋ยเฉพาะสำหรับยาสูบ ไม่สามารถใช้ร่วมกับพืชชนิดอื่นได้ ทำให้ปุ๋ยยาสูบมีราคาแพงปุ๋ยทั่วไป จากราคาปีก่อนกระสอบ 50 กก. ราคากระสอบละ 1,500 บาท แต่ปีนี้ขึ้นราคาน่าจะสูงกว่ากระสอบละ 2,500 บาท พื้นที่ 1 ไร่ ต้องใช้ปุ๋ยมากถึง 200 กิโลกรัม แต่การยาสูบฯส่งสัญญาณมาว่าจะให้เงินชดเชยในส่วนของปัจจัยการผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้เพียงแค่ 6.25 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งถือว่าน้อยถ้าเทียบกับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น

“ทางการยาสูบฯบอกว่าปีที่ผ่านมามีการขาดทุน แต่จากบัญชีงบดุลปี 2563 ให้โบนัสพนักงาน 52 ล้านบาท และปี 2564 ให้โบนัสพนักงานกว่า 108 ล้านบาท แต่เทียบเงินจำนวนดังกล่าวกับเงินที่จะนำมาช่วยชาวไร่ก็ถือว่าเป็นเงินแค่เพียงเล็กน้อย ทำให้ชาวไร่มีความรู้สึกว่าทางผู้บริหารการยาสูบฯคงจะให้ความสำคัญกับเงินโบนัสมากกว่าปากท้องของชาวไร่ เงินชดเชยที่ชาวไร่เคยเรียกร้อง 159 ล้านบาท ก็ขอกันหลายปีกว่าจะได้ แล้วก็ไม่ใช่งบจากการยาสูบ แต่เป็นงบส่วนกลางที่นำมาจ่ายให้กับชาวไร่” นายสุพจน์ กล่าว

ร่วมแสดงความคิดเห็น