แนวทางการรักษา และการฉีดวัคซีนโควิด-19 หลังปรับเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง
ตามที่ได้มีการประกาศให้ “โรคโควิด 19” เป็น “โรคติดต่อเฝ้าระวังตาม พรบ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558”
มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นมาเนื่องจากสถานการณ์การระบาดในประเทศดีขึ้น แนวโน้มจำนวนผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง และอัตราการเสียชีวิตลดลง รวมถึงมีความครอบคลุมของการได้รับวัคซีนป้องกันโรค
ในประชาชนส่วนใหญ่แล้ว

นายแพทย์กิตติพันธุ์ ฉลอม ผู้ช่วยนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึง แนวทางในการตรวจ ATK จะเน้นตรวจในผู้ที่มีอาการเข้าข่ายสงสัย เช่น ครั่นเนื้อครั่นตัว ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก เป็นต้น
การตรวจค้นหาเชิงรุกจะดำเนินการเฉพาะในกรณีที่สงสัยมีการระบาด ยังคงมีการเฝ้าระวังโดยการรายงานผู้ป่วยจากสถานพยาบาลทุกแห่ง และหากพบการระบาดจะมีการสอบสวนและควบคุมโรคโดยหน่วยควบคุมโรคติดต่อ (CDCU) ที่มีพร้อมในทุกอำเภอ

สำหรับแนวทางในการรักษาผู้ป่วย กรมการแพทย์ได้มีการปรับปรุง ณ วันที่ 29 กันยายน 2565
จากความเห็นผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงข้อมูลวิชาการทั้งในและต่างประเทศ หากไม่มีอาการ ไม่จำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัส แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัสตามอาการและความเสี่ยง โดย (1) กรณีมีอาการเล็กน้อย
หรือเอกซเรย์ปอดปกติ ไม่มีปัจจัยเสี่ยง หรือโรคร่วมที่สำคัญ ให้รักษาแบบผู้ป่วยนอก อาจพิจารณาให้ยา
ฟ้าทะลายโจร หรือฟาวิพิราเวียร์ ตามดุลยพินิจของแพทย์ ปฏิบัติตาม DMH เคร่งครัด 5 วัน (2) หากมี
ปัจจัยเสี่ยง หรือโรคร่วมสำคัญ อาจมีอาการปอดอักเสบเล็กน้อย หรือไม่มีปัจจัยเสี่ยงแต่มีปอดอักเสบเล็กน้อยถึงปานกลาง แพทย์จะพิจารณาให้ยาแพกซ์โลวิด หรือ เรมเดซิเวียร์ หรือ โมลนูพิราเวียร์ และ (3) หากมีปอดอักเสบต้องให้ออกซิเจน หรือความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า 94% ให้รักษาแบบผู้ป่วยใน โดยแพทย์จะให้ยาเรมเดซิเวียร์ ส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี และหญิงตั้งครรภ์ หากไม่มีอาการ หรืออาการเล็กน้อย
ไม่จำเป็นต้องให้ยาต้านไวรัส แต่หากมีปัจจัยเสี่ยง แพทย์จะพิจารณาให้ยาฟาวิพิราเวียร์ หรือเรมเดซิเวียร์ หรือหากมีปอดอักเสบ จะให้ยาเรมเดซิเวียร์
นอกจากนั้นยังเปลี่ยน “การแยกกักผู้ติดเชื้อ” เป็นการแนะนำการปฏิบัติตนเพื่อลดความเสี่ยงใน
การแพร่เชื้อ โดยให้ปฏิบัติตาม DMH อย่างเคร่งครัด 5 วันแรก โดยให้แยกห้องนอน งดออกจากบ้าน นับจาก
เริ่มมีอาการ หากจะออกนอกบ้านให้ไปเท่าที่จำเป็น และให้สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง รวมทั้งรักษาระยะห่างจากผู้อื่นประมาณ 1 เมตรขึ้นไป เมื่อพ้นระยะ 5 วันแรกแล้ว สามารถออกไปในชุมชนได้มากขึ้น แต่ยังควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และเมื่อครบ 10 วัน สามารถประกอบกิจกรรมทางสังคม และทำงานได้ตามปกติ
นายแพทย์กิตติพันธุ์ ยังได้กล่าวถึง การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทางกระทรวงสาธารณสุขยังคงมีบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง และสามารถเข้ารับบริการได้ในสถานพยาบาลทุกระดับ และหากเป็นผู้ป่วยติดบ้านหรือติดเตียง สามารถแจ้งให้ อสม. หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขไปฉีดวัคซีนให้ที่บ้าน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สำหรับการรับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป LAAB สำหรับกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ โดยกลุ่มผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์
การรับการรักษาสามารถปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการฉีดได้ เช่น ผู้ป่วยไตวายที่รับการฟอกไต ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบหรือแพ้ภูมิตนเองที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน รวมถึงผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำกลุ่มอื่นๆ ส่วนการรับวัคซีนสำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปี อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมให้บริการ ซึ่งจะมีการฉีด 3 เข็ม ในช่วงสัปดาห์ที่ 0 , 4 และ 12 โดยสามารถรับพร้อมวัคซีนชนิดอื่นได้ หากเด็กมีประวัติติดเชื้อให้เว้นระยะห่างไปก่อน 3 เดือน “เน้นย้ำว่าวัคซีนช่วยลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตในกลุ่มเสี่ยง 608 ได้ ขอความร่วมมือมาสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน ให้การเปลี่ยนผ่านโรคโควิด 19 จากโรคติดต่ออันตรายมาเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังอย่างปลอดภัย”
ร่วมแสดงความคิดเห็น