วอนรัฐทบทวนสัญญา ซื้อขายไฟฟ้าจากเขื่อนปากแบง 29 ปี

วอนรัฐทบทวนสัญญา ชี้การลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากเขื่อนปากแบง 29 ปี ไทยเสียประโยชน์ระยะยาว

ผู้สื่อข่าวติดตามกรณีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ลงนามในสัญญาซื้อไฟฟ้า (PPA) จากเขื่อนปากแบง เป็นระยะเวลายาวถึง 29 ปี ซึ่งทางกลุ่มผู้คัดค้านได้แสดงความวิตกกังวลหวั่นผลกระทบข้ามพรมแดน สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต และระบบนิเวศน์ จึงต้องออกมาเรียกร้องให้ทางภาครัฐทบทวนสัญญาซื้อขายดังกล่าว

นางเพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการรณรงค์ภูมิภาค International Rivers กล่าวว่า จากกรณีที่กล่มประชาชนไทยเครือข่ายลุ่มน้ำโขง 8 จังหวัด และกลุ่มรักษ์เชียงของ ได้ทำจดหมายถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีได้ทบทวนการลงนามซื้อขายไฟฟ้าจากโครงการเขื่อนปากแบงบนแม่น้ำโขง ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของ สปป.ลาว เป็นระยะเวลานานถึง 29 ปีนั้น ทางกลุ่มผู้คัดค้านได้ส่งหนังสือคัดค้านไปให้กับทางนายกรัฐมนตรีไปแล้วเมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ก่อน ตอนนี้ทางภาคประชาชนก็รอคำตอบจากนายกรัฐมนตรีในเรื่องการทบทวนการซืัอขายตามสัญญาดังกล่าวว่าจะเกิดขึ้นได้หรือไม่อย่างไร

เนื่องจากเรามองว่าก่อนหน้านี้ผู้พัฒนาโครงกา ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจจากจีน ก็คือบริษัท ต้าถัง โอเวอร์ซี อินเวสเมนต์ จำกัด ได้เคยเข้ามาพูดคุยกับภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ตั้งแต่ปี 2561 ว่าโครงการนี้ต้องมีการดูแลจัดการผลกระทบอย่างไรบ้าง ซึ่งในที่ประชุมขณะนั้นได้ตกลงและเข้าใจร่วมกันว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำการศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดน ถึงแม้ว่าเขื่อนปากแบงจะอยู่ในพื้นที่ สปป.ลาว ก็ตาม แต่ผลกระทบด้านน้ำเท้อที่จะท่วมถึงฝั่งประเทศไทย จะส่งผลให้เกิดการสูญเสียดินแดน และเกิดผลกระทบด้านระบบนิเวศน์และทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมร่วมกัน ทั้งจากภาควิชาการและภาคประชาชนว่าผลกระทบจะเป็นอย่างไรบ้าง และนำมาประกอบการพิจารณาว่าความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น และผลกระทบที่จะได้รับนั้นมีความคุ้มค่าหรือไม่อย่างไร

นางเพียรพร กล่าวอีกว่า ในกรณีการลงนามซื้อขายไฟฟ้าจากเขื่อนปากแบงในครั้งนี้ ตนเชื่อว่าการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากเขี่อนปากแบง เป็นระยะเวลากว่า 29 ปี โดย กฟผ. ซึ่งเป็นตัวแทนในนามรัฐบาลไทย ถ้าหากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุที่อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อแผ่นดินไทย ประชาชนชาวไทย หรือผู้บริโภคชาวไทย ที่เป็นผู้จ่ายค่าไฟฟ้าที่จะต้องผูกพันกันไปอีก 29 ปี ตนเชื่อว่าจะเป็นเหตุที่จะให้ทางรัฐบาลไทยจะได้หยิบยกขึ้นมาทบทวนสัญญาดังกล่าว อย่าลืมว่าถึงแม้โครงการนี้ครึ่งหนึ่งจะเป็นการลงทุนโดยรัฐวิสาหกิจจากจีน แต่อีกครึ่งหนึ่งก็เป็นบริษัทจากประเทศไทยเอง หากจะมองถึงประโยชน์สูงสุดที่จะตกลงมาสู่พี่น้องประชาชน และคำนึงถึงผลกระทบต่อประเทศไทย ตนเชื่อว่าจะต้องมีช่องทางที่จะสามารถเรียกร้องให้มีการทบทวนโครงการดังกล่าวได้ สิ่งหนึ่งที่ตนคิดว่าค่อนข้างมีความสำคัญก็คือ บริษัทเอกชนที่จะมีการร่วมลงทุนเป็นผู้พัฒนาโครงการเขื่อนปากแบงในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงได้มีการรับหลักการพัฒนาธุรกิจกับหลักมนุษยชน UN Guiding Principles on Business and Human Rights ของสหประชาชาติ ซึ่งหมายถึงว่าจะต้องรับฟังที่ที่เกี่ยวขัองกับโครงการทั้งหมด รวมถึงประชาชนไทย ไม่ว่าเขื่อนจะอยู่ในดินแดน สปป.ลาว ก็ตาม แต่หากประชาชนชาวไทยจะได้รับผลกระทบเชิงลบ ตนเชื่อว่าการรับ UN Guiding Principles on Business and Human Rights (UNGP) จะเป็นช่องทางหนึ่งที่จะทำให้เกิดการรับฟัง และพิจารณาผลกระทบอย่างรอบด้านมากยิ่งขึ้น

ส่วนกรณีที่มีการยื่นให้ทบทวนสัญญาดังกล่าว ซึ่งอาจมีผู้คนบางส่วนที่อาจมีความวิตกว่าจะเกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทยลาวหรือไม่อย่างไรนั้น นางเพียรพรมีความเห็นว่าจะไม่มีผลกระทบ เพราะโครงการเขื่อนปากแบงถึงแม้จะอยู่ในดินแดนลาว แต่ผู้พัฒนาโครงการเป็นรัฐวิสาหกิจจากจีนและบริษัทพลังงานของไทย การทบทวนโครงการดังกล่าวจะช่วยให้เกิดการศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในดินแดนลาวเช่นกัน เนื่องจากเขื่อนปากแบงเป็นเขื่อนขนาดใหญ่ มีการลงทุนกว่า 1 แสนล้านบาท และก็มีสัญญาระยะยาว 29 ปี ก็จะส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวลาวเป็นอย่างมากเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการอพยพโยกย้าย การชดเชยเยียวยา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องคำนึงว่าจะได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ ตนเชื่อว่าประชาชนชาวลาวก็จะได้รับประโยชน์จากการทบทวนสัญญาดังกล่าว เพราะจะเป็นการทบทวนว่าอะไรบ้างที่จะสูญเสียไป ประชาชนชาวลาวจำนวนกี่คนที่จะเดือดร้อน ประชาชนผู้บริโภคชาวไทยจะต้องรับภาระไปอีกกี่ปี ปัญหาเหล่านี้จะนำมาทบทวนทั้งหมด ตนเชื่อว่าผู้ได้รับผลประโยชน์จากการทบทวนในครั้งนี้ก็คือประชาชนทั้ง 2 ฝั่งน้ำ คิดว่าไม่มีข้อขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง

สำหรับแผนที่จะส่งหนังสือไปถึงบริษัท ต้าถัง โอเวอร์ซี อินเวสเมนต์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้พัฒนาหลักของโครงการเขื่อนปากแบง ก็มีการวางแผนว่าจะส่งในนามเครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง พร้อมกับกลุ่มรักษ์เชียงของ เนื่องจากบริษัทต้าถังฯ เป็นผู้พัฒนาโครงการเขื่อนบนแม่น้ำโขงถึง 2 โครงการ ซึ่งก็คือ เขื่อนปากแบง ที่ลงนามไปล่าสุด และเขื่อนปากลาย ซึ่งเพิ่งจะลงนามในเดือน ก.ย.นี้ โดยจดหมายดังกล่าวก็จะส่งถึงทั้งบริษัท ต้าถัง โอเวอร์ซี อินเวสเมนต์ จำกัด และสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจที่จะดูแลบริษัทที่จะเข้ามาลงทุนในเขื่อนแม่น้ำโขง

ส่วนข้อเรียกร้องที่จะยื่นก็เป็นไปตามที่ได้หารือไปก่อนหน้านี้ว่าจะต้องมีการรายงานผลกระทบอย่างรอบด้าน ซึ่งบริษัทต้าถังฯ ก็เคยมาพูดคุยกับกลุ่มรักษ์เชียงของแล้ว และก็เห็นด้วยที่จะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม ซึ่งการลงนามซื้อขายในครั้งนี้ทางกลุ่มผู้คัดค้านเห็นว่าไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อผู้ใช้ไฟฟ้าชาวไทย ที่จะต้องเป็นผู้แบกรับภาระในการจ่ายค่าไฟฟ้าในระยะยาวถึง 29 ปี ของทั้ง 2 โครงการทั้งเขื่อนปากลายและเขื่อนปากแบง โดยมีการตั้งข้อสังเกตุว่า ก่อนหน้าที่จะมีการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าทั้ง 2 ฉบับนี้ มีการใช้รายงานผลกระทบหรือ EIA ที่ค่อนข้างเก่ามากกว่า 10 ปี และรายละเอียดใน EIA ดังกล่าว ไม่ได้กล่างถึงผลกระทบข้ามพรมแดนอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีรายละเอียดกล่าวถึงว่าประเทศไทยจะสูญเสียจากน้ำเท้อจากเขื่อนที่จะท่วมมาถึงแก่งผาได ดอนมหาวัน เกาะช้างตาย หรือพื้นที่ต่างๆ ใน อ.เชียงของ และที่สำคัญผลกระทบจากน้ำเท้อที่จะท่วมไปถึงลำน้ำสาขาในประเทศไทย ได้แก่ แม่น้ำงาว และ แม่น้ำอิง เป็นต้น พื้นที่เกษตรและพื้นที่อยู่อาศัยของประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้ลำน้ำสาขาเหล่านี้ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ แต่จะเกิดการท่วมเท้อจากโครงการเขื่อนปากแบง จึงอยากให้ทางบริษัทจากจีนได้มีการพิจารณาศึกษาผลกระทบก่อน และดูถึงมาตรการเยียวยา และการแก้ไขปัญหาที่อาจจะเดิดขึ้นตามมา ซึ่งประเด็นเหล่านี้จะเป็นข้อเรียกร้องในหนังสือที่จะส่งให้กับบริษัทต้าถังฯ และสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เพื่อนำไปสู่การพิจารณาทบทวนต่อไป

“ส่วนประเด็นการเคลื่อนไหวในการเรียกร้องให้ทบทวนสัญญาดังกล่าวนั้น ทางกลุ่มผู้ยื่นขอทบทวนโครงการจะเข้าไปพูดคุยกับสภาผู้บริโภคมากขึ้น เพราะปัญหานี้ถือเป็นปัญหาใหญ่ ที่ไม่ใช่ว่ามีพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบแค่เพียง 3 อำเภอ คือ เชียงของ เวียงแก่น และเชียงแสน แต่เป็นปัญหาของผู้ใช้ไฟฟ้าชาวไทยทุกครัวเรือน ที่กำลังจะต้องแบกรับค่าไฟฟ้าที่กำลังจะต้องจ่ายผูกพันสัญญาเป็นระยะยาวให้กับเขื่อนปากแบงที่มีการลงนามไปแล้ว ซึ่งตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ประชาชนชาวไทยตระหนักดีถึงปัญหาค่าไฟฟ้าราคาแพง และปริมาณไฟฟ้าสำรองล้นระบบ เราจำเป็นต้องมีระบบการจัดการไฟฟ้าที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค เป็นธรรมต่อระบบนิเวศน์ เป็นธรรมต่อแม่น้ำโขง และเป็นธรรมต่อประชาชนชาวไทยทุกคน” นางเพียรพร กล่าว

ร่วมแสดงความคิดเห็น