อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ตามจับต่างด้าวสะเดาะกุญแจห้องขังหนี สุดท้ายหนีการจับกุมไม่รอด

24 พฤศจิกายน 2564 ตำรวจภูธรฝางสนธิกำลัง ตชด.334 ไล่ติดตามจับกุมผู้ต้องหาคดีกระทำชำเราหลานอายุ 10 ปี
พ.ต.อ.ศันย์ชัย พานิชกุล ผกก.สภ.ฝาง พ.ต.ท.เกรียงศักดิ์ คงศิริ รอง ผกก.สส.สภ.ฝาง เจ้า พตท.วีรพล อุ่นอารมณ์ รองผกก..ป. พ.ต.ท.นพดล กันไชยต๊ะ สว.สส. สภ.ฝาง พ.ต.ต.พิบูลย์พันธ์ สุขุมานนท์ สว.สส.สภ.ฝาง หน้าที่ชุดสนับสนุน เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.ฝาง ร้อย ตชด.334 แม่อาย บช.ปส.ฝาง ชุดข่าวกกล.ผาเมือง เจ้าหน้าที่อส.ฝาง ,กำนันผูใหญ่บ้าน

ต่อมาเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2564 ผู้ต้องหาคดีกระทำชำเราเด็กฯ ทำการหลบหนีออกจากห้องควบคุม สภ.ฝาง ผู้ต้องหาชาวเมียนมาร์ เป็นผู้ต้องหาข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิง อายุไม่เกิน 13 ปี ในท้องที่ สภ ฝาง และถูกจับได้ เมื่อ 22 พ.ย. 64 ได้หลบหนีออกจากห้องควบคุม สภ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เช้าวันนี้

ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดชุดออกไล่ล่าติดตาม และ พบตัวแล้วหลังพยายามหลบหนี จนกระทั่งเมื่อ 19:40 น.เจ้าหน้าที่ได้ติดตามจับกุมตัว นาย ข่อง ซึ่งเป็นชาวเมียนมาร์ได้บริเวณป่าละเมาะท้ายหมู่บ้าน หลังระดมกำลังลงพื้นที่ บ้าน แม่ใจ หมู่ 19 ต.เวียง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ พบผู้ต้องหาได้ซ่อนตัวอยู่ในโพงหญ้าข้างทาง จากการสอบสวนผู้ต้องหาเบื้องต้น

ผู้ต้องหาได้ให้การว่า สาเหตุที่ต้องหลบหนีจากเนื่องจากโทษในคดีกระทำชำเราเด็กตํ่ากว่า 13 ปี มีโทษสถานหนักจึงมีความกลัวและตัดสินใจโดยอาศัยจังหวะเจ้าที่ต้องดูแลตรวจนับจำนวนผู้ต้องหาต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองฯ ในห้องขังติดกัน โดยหนีไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนและภรรยา และได้ทำการตัดผมเปลี่ยนเสื้อ เพื่อเป็นการอำพรางตัวไม่ให้เจ้าที่จดจำได้ ทางด้านพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาเพิ่มแก่ นายข่อง อีก1ข้อหา คือหลบหนีการควบคุมในเวลานี้ทางเจ้าหน้าที่จับกุมได้โดยไม่มีใครบาดเจ็บ

จากเหตุก่อนหนีออกจากคุก เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2564 เวลาประมาณ 18.50 นาฬิกา ได้มีนายอดิศร  คำอ่อง อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 109/พ หมู่ที่ 1 ตำบลเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับนายข่อง ไม่มีนามสกุล อายุ 25 ปี สัญชาติเมียนมาร์ โดยกล่าวหาว่า “กระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม”

เหตุเกิดที่ บ้านพักคนงานไม่มีเลขที่ หลังโรงเรียนสันต้นเปา หมู่ที่ 7 ตำบลแม่ข่า อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2564 เวลากลางคืน ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดฝาง ให้ออกหมายจับนายข่อง ไม่มีนามสกุล และศาลจังหวัดได้ออกหมายจับนายข่อง ไม่มีนามสกุล ตามหมายจับที่ จ.93/2564 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ในความผิดฐาน “กระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม”ซึ่ง เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 เวลาประมาณ 18.50 นาฬิกา ปจว.ข้อ 13 เวลา 21.00 น. ผู้ต้องหา ได้ถูกจับกุมตัว และ นำส่งพนักงานสอบสวน

พฤติการณ์แห่งคดี คือ ก่อนการการจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ฝางฯ ได้ติดตามจับกุม นายข่อง ไม่มีนามสกุล บุคคลตามหมายจับศาลจังหวัดฝาง ที่ จ.93/2564 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564กระทำความผิดฐาน “กระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสาม” ต่อมาวันนี้ (22 พ.ย. 2564) เวลาประมาณ 17.30 น. ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าพบตัวนายข่องฯ อยู่ที่ห้องเช่าไม่มีเลขที่ บ้านสันต้นเปา ม.7 ต.แม่ข่า อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ฯ จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และได้รับสั่งการให้ไปตรวจสอบที่ห้องเช่าดังกล่าว เมื่อเจ้าหน้าที่ฯ ไปถึงพบนายข่องฯ ซึ่งมีตำหนิรูปพรรณตรงตามหมายจับ ยืนอยู่ที่บริเวณบนถนนสาธารณะหน้าห้องเช่าดังกล่าว เจ้าหน้าที่ฯ จึงแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และได้แสดงหมายจับของศาลจังหวัดฝาง ให้ดูและอ่านให้ฟังจนเป็นที่เข้าใจแล้ว จากการสอบถามนายข่องฯ รับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง และ ไม่เคยถูกจับดำเนินคดีในคดีนี้มาก่อน จากนั้นเจ้าหน้าที่ฯ จึงได้สอบถามบัตรประจำตัวและเอกสารทางทะเบียนราษฎร์ของนายข่องฯ แต่นายข่องฯ ไม่สามารถนำเอกสารหรือบัตรประจำตัวมาแสดงกับเจ้าหน้าที่ฯ ได้ จากการสอบถามนายข่องฯ ยอมรับว่าตนได้ลักลอบหลบหนีเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรมาแล้วเป็น เวลาประมาณ 4 ปี

โดยได้ลักลอบเข้ามาทางช่องทางบ้านนอแล ต.ม่อนปิ่น อ.ฝางฯ เจ้าหน้าที่ฯ จึงได้ทำบันทึกการจับกุมพร้อมทั้ง แจ้งสิทธิ์และข้อกล่าวหา ให้นายข่องฯ ทราบว่า “กระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสาม”  ตามหมายของศาลจังหวัดฝาง ที่ จ.93/2564 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 และ“เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” นายข่องฯ รับทราบข้อกล่าวหาโดยตลอดแล้วและได้ให้การรับสารภาพในข้อกล่าวหาเป็นบุคคลต่างด้าวจริงและขอให้การปฏิเสธ ในข้อกล่าวหาตามหมายจับ จากนั้นเจ้าหน้าที่ฯจึงนำตัวนายข่องฯ ส่ง พงส.สภ.ฝาง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สังเกตว่านายข่องฯ ลักษณะท่าทางมีพิรุธ มีลักษณะคล้ายคนติดยาเสพติด ซึ่งผู้ต้องหาได้ยอมรับว่าเสพยายบ้ามาก่อนหน้านั้นจริง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้อาศัยอำนาจของเจ้าพนักงาน ทำการตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะของข่องฯไม่มีนามสกุล

โดยได้รับความยินยอมและสมัครใจทำการตรวจ ซึ่งผลการตรวจเบื้องต้นพบสารเมทแอมเฟตามีนในปัสสาวะของผู้ต้องหาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้นำตัวอย่างปัสสาวะของผู้ต้องหา ส่งให้แพทย์โรงพยาบาลฝางเพื่อตรวจหาสารเสพติด โดยผลการตรวจของโรงพยาบาลเบื้องต้นยืนยันพบสารเสพติดเมทแอมเฟตามีนว่าในปัสสาวะของผู้ต้องหาจริง ชั้นจับกุมปฏิเสธข้อหาตามหมายจับ แต่ชั้นสอบสวน ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาแต่อยากหนีกลัวการลงโทษจึงหนีออกจากคุก

ร่วมแสดงความคิดเห็น