เร่งปราบทุจริต หลังจนท.ท้องถิ่นยักยอกเงิน

สำนักงานปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช. )ระบุว่า เป้าประสงค์ในการกำหนดค่าเป้าหมาย ช่วงพ.ศ. 2561 – 2565 ในการลดจำนวนคดีทุจริต ภายในหน่วยงานรัฐ ตั้งเพดานไว้ที่ร้อยละ 10 ซึ่งค่าเป้าหมายเป็นไปตามแผน แต่การดำเนินการขับเคลื่อน แผนปราบปรามการทุจริตต้องอาศัยการมีส่วน
ร่วมของประชาชนในการตรวจสอบเฝ้าระวัง การปฏิบัติงานของภาครัฐ พัฒนาเครือข่ายและคุ้มครองการแจ้งเบาะแสการทุจริตและประพฤติมิชอบในสังคม ให้ภาคประชาชนมีศักยภาพและส่วนร่วมในการตรวจสอบพฤติกรรมการทุจริตมากขึ้น

” สร้างกระแสสังคมให้ต้านการทุจริต ไม่ยอมรับพฤติกรรมทุจริต พัฒนาคุณธรรม จริยธรรม พัฒนาระบบราชการ โดยให้ความสำคัญกับการบูรณาการความร่วมมือในการปราบปรามการทุจริต ปิดจุดเสี่ยงการทุจริตในหน่วยงานภาครัฐในทุกขั้นตอน “

ทั้งนี้คณะอนุกรรมการศึกษากำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาทุจริตประพฤติมิชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เปิดเผยว่า การดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)และหน่วยงานด้านการตรวจสอบติดตาม ป้องกันการทุจริต มีข้อมูลเชิงลึกว่าการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต การจัดซื้อจัดจ้างการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม เป็นเรื่องถูกร้องเรียนมาอย่างต่อเนื่องและพบว่า หน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นหน่วยงานที่ถูกกล่าวหามากที่สุด

เครือข่ายภาคประชาสังคม ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาคเหนือ รวมถึงชมรมสตรองในพื้นที่เชียงใหม่ ระบุว่ากรณีที่เกิดขึ้นจากการที่เจ้าหน้าที่การเงินของเทศบาลตำบลแห่งหนึ่ง ซึ่งเดิมทำหน้าที่การเงิน-บัญชี ในส่วนของกำลังพลแล้วทำเรื่องโอนย้ายมาสังกัด เทศบาลตำบลแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ในตำแหน่งเจ้าพนักงานการเงิน ระดับปฏิบัติงาน เมื่อ ต.ค. พ.ศ. 2564 สามารถยักยอกเงิน 30,600,000 บาท ของเทศบาลตำบลนี้ได้ เป็นกรณีที่ต้องป่าวประกาศ ให้ อปท.ทุกแห่งๆ ล้อมคอก ป้องกันปัญหานี้ไม่ให้เกิดขึ้น

” การที่ผู้บริหารท้องถิ่นจะกล่าวอ้างว่า ไม่รอบรู้ เข้าใจระบบการโอนจ่ายเงินเข้าบัญชีแทนการจ่ายเช็ค ตามระบบการเงิน การคลัง และไว้วางใจเจ้าหน้าที่โดยมอบรหัสที่สามารถดำเนินการเบิก หรือโอนจ่ายได้ จนเกิดการทุจริตของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติ กรณีดังกล่าว ระดับผู้บริหาร ไม่ว่าจะเป็นนายกเทศมนตรี, ปลัดและ ผู้อำนวยการคลัง ย่อมปฏิเสธ ความรับผิดชอบไม่ได้ “

ผอ.การคลัง เทศบาลแห่งหนึ่งในพื้นที่อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ แสดงความคิดเห็นว่า การยักยอกเงิน จำนวนมากขนาดนี้ เป็นเรื่องเหลือเชื่อมาก ยิ่งมีการตรวจสอบการเบิก จ่ายพบว่าเงินกระแสรายวันของเทศบาล ถูกโอนถ่ายออกไปจากบัญชีเทศบาลช่วงพฤษภาคม เพียงเดือนเดียวกว่า 30,600,000 บาท โดยโอนเข้าบัญชีเจ้าพนักงานการเงินและบัญชี ปฏิบัติการ เพียงบัญชีเดียว ดูแล้วง่ายเกินไป


” เพราะเป็นเจ้าหน้าที่การเงินย้ายมาไม่นาน และผู้บริหารอ้างว่าเข้ามาใหม่ ไม่ทราบระบบใหม่ของธนาคารที่เริ่มใช้เมื่อมกราคมเป็นต้นมา ในข้อเท็จจริงแล้ว การเบิกจ่ายเงิน ผ่านระบบนี้ การคลังต้องทราบ ยิ่งระดับบริหารจะเชื่อมการแจ้งเตือนผ่านสมาร์ทโฟน ไม่เป็นความลับ ในการเบิกจ่ายเงินของ อปท.
เพราะเป็นเงินหลวง ไม่ใช่เงินส่วนตัว ที่ใครๆ จะเบิกจ่ายได้ตามอำเภอใจ ถือเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับผู้บริหารท้องถิ่น ปกติแล้วระบบการเบิกจ่ายของ อปท. ที่เป็นบัญชีหลักๆ จะเชื่อมระบบแจ้งเตือนไปยัง ผู้บริหาร,ปลัด และผอ.คลัง หรือ บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งมอบหมาย ซึ่งน่าจะเป็น หน่วยงานตรวจสอบภายใน อปท.ด้วยซ้ำ ประการสำคัญ บุคลากร ในอปท. ในองค์กร ที่มีพฤติกรรม ติดการพนัน หรือมีปัญหาเรื่องหนี้สิน ควรได้รับการสอดส่องใกล้ชิด ไม่ให้เป็นจุดเสี่ยงในการทุจริต หรือสร้างผลกระทบในองค์กรได้ กรณีนี้ไม่ได้เกิดขึ้น ในอปท. แต่ยังเกิดขึ้นซ้ำซาก ในหน่วยงานของรัฐ หลายๆแห่งด้วย ”

สำหรับกรณีข้อร้องเรียน กล่าวหาผู้บริหารท้องถิ่นโดยตำแหน่ง ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ช่วงที่ผ่านมา พบว่า อปท.ขนาดใหญ่ มีข้อร้องเรียนการ ใช้จ่ายงบประมาณ ส่อไปทางทุจริต ใช้งบไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ จน หน่วยงานตรวจสอบ รับเรื่อง เป็นคดี จำนวนมาก บางคดี มีการอุทธรณ์ตามขั้นตอน และในหลายคดีพบผู้เกี่ยวข้องลาออกจากราชการ และ เสียชีวิต อาทิ กรณีการตรวจสอบโครงการพัฒนาบนที่ดินการรถไฟเชียงใหม่ เป็นต้น

ร่วมแสดงความคิดเห็น