Great Resignation มหกรรมลาออกของลูกจ้างทั่วโลก

นอกจากจะต้องรับมือกับพิษเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องรับมือด้วย คือ Great Resignation มหกรรมการลาออกครั้งใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกในขณะนี้

คำว่า Great Resignation มาจากแนวคิดของศาสตราจารย์ Anthony Klotz จากมหาวิทยาลัย Texas A&M ซึ่งได้ทำนายไว้ว่า หลังการระบาดของโรคโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ จะเกิดการลาออกของพนักงานเป็นจำนวนมาก เมื่อถึงช่วงเดือนเมษายน พ.ศ. 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่สถานการณ์การระบาดในสหรัฐเริ่มลดลง เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว มีชาวอเมริกันมากกว่า 4 ล้านคน พากันลาออกจากงานที่ทำ ในหลายประเทศเช่นอังกฤษ แคนาดา สหภาพยุโรป ก็เผชิญกับเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกัน สิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลให้ผู้ประกอบการจำนวนมากประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน

จากผลการสำรวจของ Joblist พบว่ามีหลายสาเหตุที่ทำให้พนักงานจำนวนมากตัดสินใจลาออกจากงาน ร้อยละ 19 มาจากพฤติกรรมของหัวหน้างานหรือนายจ้าง ในช่วงการระบาดของไวรัส ร้อยละ 17 มาจากรายได้ที่ไม่เพียงพอ และขาดสวัสดิการที่ดีแก่บรรดาลูกจ้าง และร้อยละ 13 มาจากการขาด Work – Life Balance หรือการปรับสมดุลระหว่างเวลาทำงานกับเวลาส่วนตัว นอกจากนี้แล้ว ความต้องการส่วนตัวของลูกจ้าง เช่น ความต้องการอยู่กับบ้านเพื่อดูแลสมาชิกครอบครัว การเลือกรูปแบบการทำงานจากระยะไกล หรือ Remote Working รวมถึงการตัดสินใจทำในสิ่งที่ตนเองรัก ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการลาออกหรือย้ายงาน

เมื่อเรารู้สาเหตุของลาออกครั้งใหญ่แล้ว ก็ถึงเวลาที่นายจ้างหรือผู้ประกอบการ ต้องหาวิธีรับมือ เพื่อป้องกันการสูญเสียทรัพยากรอันมีค่าไป ไม่ว่าจะเป็นการสร้างวัฒนธรรมการทำงานใหม่ ปรับสมดุลเวลางานและเวลาส่วนตัวของลูกจ้าง สร้างความเป็นอยู่ที่ดีในองค์กร เพิ่มสวัสดิการและรายได้อย่างเป็นธรรม สนับสนุนการเสริมสร้างทักษะใหม่ของพนักงาน ป้องกันปัญหางานที่เพิ่มขึ้นของลูกจ้างในกรณีที่จำนวนพนักงานลดลง ที่สำคัญคือดูแลความสัมพันธ์และเช็คความรู้สึกของลูกจ้างที่ยังอยู่ รวมทั้งการเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของพนักงาน เป็นต้น

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก นอกจากลูกจ้างต้องเตรียมพร้อมที่จะพัฒนาทักษะของตนเองแล้ว นายจ้างต้องปรับตัวเพื่อดูแลองค์กรและลูกน้องให้ดียิ่งขึ้น

ที่มา The Matter , Creative Talk , กรุงเทพธุรกิจ , Workpoint Today , Mission To The Moon

ร่วมแสดงความคิดเห็น