ป.ป.ช. ภาค 5 ประชุมหารือการบุกรุกพื้นที่สาธารณะประโยชน์ การบุกรุกเขตล้ำลำน้ำ ที่ดินของรัฐในพื้นที่อำเภอปัว จังหวัดน่าน

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2565 ที่ห้องประชุมพระเจ้ามหาพรหมสุรธาดา ชั้น 6 ศาลากลางจังหวัดน่าน นายกฤชเพชร เพชระบูรณิน รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน พร้อมด้วย นายสุพจน์ ศรีงามเมือง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการสำนัก ป.ป.ช. ภาค 5 พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ ประชุม หารือสรุปปัญหา หลังจากได้ลงพื้นที่ มีการร้องเรียน เกี่ยวกับการบุกรุกพื้นที่สาธารณะประโยชน์ การบุกรุกเขตล้ำลำน้ำ ที่ดินของรัฐพื้นที่อำเภอปัว จังหวัดน่าน ร่วมกับ องค์กรปกครองท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง หลังจากได้ลงพื้นที่อำเภอปัว จัดเก็บข้อมูลเพื่อวิเคราะห์สภาพปัญหาและข้อเท็จจริงตามประเด็นความเสี่ยงต่อการทุจริตด้านทรัพยากรธรรมชาติ (การรุกล้ำลำน้ำ /ที่ดินของรัฐ) การรุกล้ำลำน้ำปัว พื้นที่อำเภอปัว จังหวัดน่าน บริเวณลำน้ำปัว ตำบลเจดีย์ชัย และฝายน้ำปัว ตำบลสถาน อำเภอปัว

.ในที่ประชุมได้หารือเพื่อให้ได้ข้อตกลงร่วมกันในการดำเนินการแก้ไขปัญหาความเสี่ยงต่อการทุจริตด้านทรัพยากรธรรมชาติ โดยมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม จากกรณี ป.ป.ช.ร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น ป่าไม้ ที่ดิน สำนักเจ้าท่า ฝ่ายปกครองอำเภอปัว อบต.ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงความเสี่ยงต่อการทุจริตด้านทรัพยากรธรรมชาติ การรุกล้ำลำน้ำ/ที่ดินของรัฐ ซึ่งได้รับข้อมูลจาก สำนักงาน ป.ป.ช.จ.น่าน และเครือข่ายภาคประชาชน ชมรมสตรอง จิตพอเพียงต้านทุจริตจังหวัดน่าน เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา

นายฉัตรชัย วีระเชวงกุล ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดน่าน ได้กล่าวถึงประเด็นการติดตามที่แบ่งตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งดำเนินการพิสูจน์สิทธิ์ และการออกเอกสารสิทธิที่ดิน ลำน้ำปัว ในจุดที่มีเรื่องการท่องเที่ยวเข้ามาและมีการลุกล้ำพื้นที่ป่า ซึ่งจะต้องดำเนินการว่าจะสามารถทำได้มากน้อยแค่ไหน โดยหน่วยงานป่าไม้และส่วนราชการท้องถิ่น และพื้นที่ตำบลเจดีย์ชัย หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบคือ กรมที่ดิน และส่วนราชการท้องถิ่น ส่วนข้อเสนอแนะจากการลงพื้นที่ ส่วนแรกคืออยากให้เป็นการจุดประกายของจังหวัดน่าน ในเรื่องของการบุกรุกพื้นที่สาธารณะทางน้ำและทางป่า อยากให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกส่วนมีการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งในเรื่องของการขออนุญาต การขออนุมัติ และการติดตามการบังคับใช้กฎหมาย ขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย ส่วนที่สอง คือ อยากให้ส่วนงานราชการที่เกี่ยวข้องส่วน มีแผนในการป้องกันในเรื่องที่จะเกิดขึ้น และมีมาตรการ และการติดตามในเรื่องที่จะเกิดขึ้น หากทำได้ทั้งสองส่วน ปัญหาในลักษณะเหล่านี้ก็จะไม่เกิด ซึ่งที่ผ่านมาเสียงบประมาณกำลังคนไปมากเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ หากปัญหามีการบานปรายเกินไป อาจจะกลายไปเป็นปัญหาระดับชาติ อย่างที่เคยเกิดขึ้นทั้ง ภูทับเบิก ภูเก็ต ปาย หรือสะบัน













ร่วมแสดงความคิดเห็น