“ปลัดจอมแฉ” นำลุยตรวจสอบ ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ แรกเริ่มจดจัดตั้ง 2 มูลนิธิฯ
เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2565 “ปลัดจอมแฉ” นายบุญญฤทธิ์ นิปวณิชย์ ปลัดอำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ และประธานสหพันธ์ปลัดอำเภอแห่งประเทศไทย (ส.ปอ.ท.) พร้อมด้วย นายสรพงษ์ คำมี กำนันตำบลป่าไผ่ อำเภอสันทราย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจที่ตั้งของ 2 มูลนิธิ ที่ยื่นจดทะเบียนจัดตั้งและมีที่ตั้งสำนักงานใหญ่แรกเริ่มอยู่ในอำเภอสันทราย สืบเนื่องจากกรณีที่ก่อนหน้านี้ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเจ้าของสถานบันเทิงและอดีตนักการเมือง ออกมาเปิดเผยข้อมูลทั้ง 2 มูลนิธิดังกล่าว เป็นหนึ่งในมูลนิธิหลายแห่งที่เชื่อได้ว่า อาจจะเข้าไปมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนจีนสีเทา ด้วยการรับคนจีนเข้าเป็นอาสาสมัครของมูลนิธิแล้วออกใบรับรอง ให้นำไปใช้ยื่นขอใบอนุญาตทำงานและวีซ่า เพื่อพำนักอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ไม่น่าจะโปร่งใส และตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีคนจีนที่ได้รับวีซ่าด้วยวิธีการเช่นนี้แล้วหลายพันคน

โดยจุดแรกได้เข้าตรวจสอบที่บ้านหมู่ที่ 7 ตำบลป่าไผ่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ใกล้กับวัดศรีบุญเรือง ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของมูลนิธิแห่งที่ 1 แรกเริ่มเมื่อครั้งจดจัดตั้งในปี 2563 ก่อนที่จะย้ายไปอยู่อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ในปี 2564 เบื้องต้นพบว่ามีลักษณะเป็นที่ดินก่อกำแพงรั้วรอบขอบชิด ตั้งเป็นโรงเรือนให้คนงานตัดแต่งแผ่นหินอ่อน หรือหินแกรนิตของห้างหุ้นส่วนแห่งหนึ่ง ซึ่งจากการสอบถามคนงานที่ทำงานอยู่ตั้งแต่แรกเริ่มให้ข้อมูลว่า จุดนี้เป็นสถานที่ทำงานสำหรับตัดแต่งแผ่นหินมาตั้งแต่แรก พร้อมยืนยันว่าไม่เคยพบเห็นว่ามีการดำเนินการหรือทำกิจกรรมใดๆ ในลักษณะของมูลนิธิเลย แม้กระทั่งการจัดการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ รวมทั้งไม่มีการติดป้ายและไม่เคยมีการพาบุคคลอื่น โดยเฉพาะคนจีนเป็นกลุ่มหรือหมู่คณะเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ เพื่อทำกิจกรรมใดๆ ทั้งสิ้น

ขณะที่จุดที่สองเข้าตรวจสอบบ้านหมู่ที่ 5 ตําบลหนองหาร อําเภอสันทราย ตั้งอยู่ข้างมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของมูลนิธิแห่งที่ 2 แรกเริ่มเมื่อครั้งจดจัดตั้งในปี 2562 ก่อนที่จะย้ายไปอยู่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี 2564 เบื้องต้นพบว่าเป็นอาคารพาณิชณ์ 1 คูหา และเป็นที่ตั้งสำนักงานของห้างหุ้นส่วนแห่งหนึ่ง โดยอาคารดังกล่าวถูกปิดและล็อคกุญแจไว้ อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามผู้อยู่อาศัยใกล้เคียงต่างให้ข้อมูลตรงกันว่า ทราบเพียงว่าอาคารแห่งนี้ ทำธุรกิจเกี่ยวกับการจำหน่ายหินแกรนิตที่มีการติดป้ายระบุไว้อย่างชัดเจน ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยพบเห็นว่ามีการนำป้ายมูลนิธิใดๆ มาติดตั้งเพิ่มเติม และไม่เคยพบเห็นว่ามีการทำกิจกรรมหรือดำเนินการใดๆ ในลักษณะของมูลนิธิเลย

ทั้งนี้นายบุญญฤทธิ์ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบข้อมูลค่อนข้างชัดเจน ว่าสำนักงานใหญ่แรกเริ่มเมื่อครั้งจัดตั้งของทั้ง 2 มูลนิธิดังกล่าวนี้ ไม่มีการดำเนินกิจกรรมใดๆ ในลักษณะของมูลนิธิเลย โดยจากนี้จะต้องมีการตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติมต่อไป เช่นว่า ทางมูลนิธิได้มีการส่งรายงานการประชุม และส่งงบบัญชีให้นายทะเบียนหรือไม่อย่างไร รวมทั้งได้ทำตามข้อบังคับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิตามที่จดจัดตั้งหรือไม่ ตลอดจนจะต้องตรวจสอบให้แน่ชัดด้วย ในประเด็นการรับคนจีนจำนวนมากเป็นอาสาสมัครแล้วออกใบรับรองให้นำไปใช้ขอใบอนุญาตทำงาน และวีซ่าว่าเป็นความจริงหรือไม่ และหากจริงแล้วเป็นเพราะมีเหตุผลความจำเป็นอย่างไร เพื่อพิจารณาว่าเข้าข่ายเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติหรือไม่ ซึ่งหากพบการกระทำผิดจะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ด้านกำนันตำบลป่าไผ่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ในส่วนของที่ตั้งสำนักงานใหญ่แรกเริ่มของมูลนิธิแห่งที่ 1 ที่อยู่ในพื้นที่ของตัวเองนั้น พบว่าทางห้างหุ้นส่วนแห่งหนึ่ง ได้เข้ามาซื้อที่ดินรกร้างเมื่อประมาณปี 2560 และตั้งเป็นโรงเรือนให้คนงานใช้เป็นสถานที่ทำงานตัดแต่งหิน ตั้งแต่แรกเริ่มต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน โดยที่ตัวเองและชุมชนไม่เคยทราบมาก่อน ว่ามีการใช้ที่อยู่ดังกล่าวจดจัดตั้งมูลนิธิ และที่ผ่านมาก็ไม่เคยพบเห็นว่ามีการทำกิจกรรมหรือดำเนินการใดๆ ในลักษณะของมูลนิธิเลย กระทั่งทราบจากข่าวที่มีการนำเสนอ จึงได้สอบถามไปยังเจ้าของ และได้รับการชี้แจงว่าทางเจ้าของเป็นทางลูกสะใภ้ที่มีชื่อเป็นประธานกรรมการมูลนิธิ นำที่อยู่ไปใช้จดจัดตั้งมูลนิธิ โดยที่ตัวเจ้าของไม่ทราบเรื่องมาก่อนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม พบว่ามูลนิธิแห่งนี้มีชื่อของลูกชายเจ้าของร่วมเป็นรองประธานกรรมการมูลนิธิด้วย ทั้งนี้กรณีที่เกิดขึ้นอยากให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตรวจสอบต่อไปว่า มีการดำเนินการใดๆ ที่ไม่ถูกต้องหรือไม่อย่างไร

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ผู้ที่ยื่นขอจดจัดตั้งของทั้ง 2 มูลนิธิ เป็นบุคคลเดียวกัน อีกทั้งคณะกรรมการบริหารมูลนิธิของทั้ง 2 มูลนิธิ ยังเป็นกลุ่มบุคคลเดียวกันทั้งหมด ประกอบด้วย 1.น.ส.ธีรดา ประธานกรรมการ, 2.นายรัชกร รองประธานกรรมการ และ 3.นางสโรชา เลขานุการและเหรัญญิก ทั้งประธานกรรมการมูลนิธิ,รองประธานกรรมการมูลนิธิ รวมทั้งเลขานุการและเหรัญญิก ซึ่ง น.ส.ธีรดา มีชื่อเป็นผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
นอกจากนี้รายงานข่าวแจ้งด้วยว่าช่วงเช้าตรู่วันนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจท่องเที่ยว หน่วยปฏิบัติการพิเศษ และฝ่ายปกครอง บูรณาการร่วมกันแบ่งกำลังเป็น 19 ชุด นำหมายศาลออกปฏิบัติการปิดล้อม ตรวจค้น เป้าหมาย ยาเสพติด สิ่งผิดกฎหมาย และจุดศูนย์รวมชาวต่างชาติ ที่อาจมีการออกหนังสือรับรองการออกวีซ่าพำนักในประเทศ รวม 19 จุด ในพื้นที่อำเภอเมือง,อำเภอสารภี,อำเภอสันทราย และอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ โดยที่ช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะเดินทางมาแถลงข่าวผลการปฏิบัติการที่จังหวัดเชียงใหม่ด้วยตัวเอง

ร่วมแสดงความคิดเห็น