สิทธิในที่อยู่อาศัยคือสิทธิมนุษยชน เมื่อบ้านไม่ใช่แค่ที่พัก แต่คือศักดิ์ศรีที่อาจถูกพรากไป แอมเนสตี้เปิดเวที ‘New Home Near Me’ บ้านใหม่ใกล้ฉันฯ ชวนฟังเสียงชุมชนท่ามกลางเหมืองแร่ ป่าคาร์บอน แลนด์บริดจ์
‘บ้าน’ ไม่ได้เป็นเพียงที่อยู่อาศัยให้เราหลบนอนหนึ่งคืน แต่คือพื้นที่ที่เราหายใจ เติบโต รับฟังเสียงหัวเราะและเรื่องเล่าของผู้คน บ้านคือวัฒนธรรม วิถีชีวิต และสังคมเล็กๆ ที่โอบอุ้มเราไว้ตั้งแต่วัยเยาว์จนถึงวัยผู้ใหญ่ หรืออาจตลอดอายุขัยในบ้านนั้น แต่หากวันหนึ่งบ้านหายไป เราจะอยู่ที่ไหน? วันนี้ ชุมชนทั่วประเทศกำลังเผชิญโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ เหมืองแร่ แลนด์บริดจ์ ป่าคาร์บอน บ้านที่เคยมั่นคงกลับอยู่บนความเสี่ยงที่จะถูกไล่รื้อทุกเมื่อ ทั้งที่สิทธิในที่อยู่อาศัยคือสิทธิขั้นพื้นฐานของเราโดยแท้จริง
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จับมือกับเครือข่าย จัดเวทีเสวนา “บ้านใหม่ใกล้ฉัน: เหมืองแร่ ป่าคาร์บอน แลนด์บริดจ์ กับความเสี่ยงการไล่รื้อ” ภายใต้งาน Bangkok Climate Action Week 2025 เพื่อผลักดันให้เสียงของชุมชนที่ได้รับผลกระทบได้ถูกได้ยินโดยผู้มีอำนาจ และย้ำว่า“สิทธิในที่อยู่อาศัยคือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน”
‘บ้าน’ ที่กำลังจะหายไป ใครคือผู้ถูกลืมในการพัฒนา
ศตพัฒน์ ศิลป์สว่าง เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายรณรงค์เชิงนโยบาย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้นำเสนอภาพรวมสถานการณ์ สิทธิในที่อยู่อาศัย (Right to Adequate Housing) และ สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (Economic, Social and Cultural Rights – ESCR) ที่กำลังถูกท้าทายทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองซึ่งมักเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนา ภาครัฐมักกล่าวอ้างว่าจะทำเพื่อพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งแม้จะมีผลเชิงบวกบางด้าน แต่รัฐกลับหลงลืมผู้คนที่ไม่ได้รับการพัฒนา ทั้งยังต้องแบกรับต้นทุนการพัฒนา พวกเขาไม่มีแม้แต่โอกาสแสดงความคิดเห็นต่อโครงการและไม่อาจร่วมกำหนดชะตาชีวิตตนเองได้ ขณะที่ชุมชนป่าชายเลนอันอุดมสมบูรณ์ ชุมชนประมง และพื้นที่พึ่งพาแหล่งน้ำ ล้วนเป็นพื้นที่แรกๆ ที่ต้องสูญเสียบ้าน ที่ดิน อาชีพ และความมั่นคงในชีวิต ทั้งที่เราควรมีสิทธิในที่อยู่อาศัยที่เพียงพอ ซึ่งหากจะเพียงพอได้ต้องประกอบด้วยสิทธิ 7 ข้อดังนี้
1.‘ความมั่นคงทางกฎหมาย’ เช่นการให้ประชาชนถือครองโฉนดที่ดินหรือมีสัญญาเช่า “หน้าที่ของรัฐไทยจำเป็นจะต้องหาบ้านให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ตามการลงนามกติกาสากลระหว่างประเทศเรื่องของสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม”
2.‘ค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม’ จากปัญหาทั่วโลกที่ได้เห็นว่าในหลายเมืองใหญ่ ประชาชนไม่สามารถจ่ายค่าบ้านที่สูงเกินไปได้ เพราะจะทำให้ไม่มีเงินเหลือใช้สำหรับปัจจัยในการดำรงชีวิตด้านอื่น
3.‘ความเหมาะสมต่อการอยู่อาศัย’ นึกภาพถึงการอาศัยในชุมชนแห่งหนึ่ง แล้วต้องอยู่กับความหวาดระแวงด้านภัยพิบัติหรือได้รับผลกระทบด้านโรคภัย ทำให้เกิดความรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ชุมชนที่ปลอดภัยต่อการอยู่อาศัย “เพราะฉะนั้นรัฐก็มีหน้าที่ทำให้ชุมชนเหล่านั้นเป็นชุมชนที่เหมาะสมในการอยู่อาศัยมากขึ้น”
4.‘การเข้าถึงสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน’ เช่น น้ำที่สะอาด ไฟฟ้า พลังงาน
5.‘การเข้าถึงได้’ ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนทั้งเด็ก ผู้พิการ สตรี ผู้แตกต่างทางชาติพันธุ์ก็ควรจะได้รับสิทธิในการอยู่อาศัยอย่างปลอดภัย
6.‘ที่ตั้ง’ ไม่ว่าที่อยู่อาศัยหรือบ้านจะตั้งอยู่ที่ไหน ประชาชนควรได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน สถานที่ทำงาน
7.‘ความเหมาะสมทางวัฒนธรรม’ ผู้คนที่มีวัฒนธรรมติดกับพื้นที่ ยกตัวอย่างประเพณีต่างๆ ในทุกปีที่เป็นไปตามวิถีตั้งแต่กำเนิด แต่กลับมีเหตุจำเป็นให้ต้องย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่น และไม่สามารถดำรงชีวิต สะท้อนอัตลักษณ์ของตัวเองได้
เพราะชุมชนในประเทศไทยบางส่วนไม่ได้รับสิทธิที่เพียงพอ พวกเขาจึงออกมาเรียกร้องถึงผลกระทบของการสร้างโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการแลนด์บริดจ์และกฎหมาย SEC ที่เชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่งระหว่างอ่าวไทยและทะเลอันดามัน โครงการจัดการน้ำแบบคอนกรีต โครงการ EEC โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 แม้รัฐจะวางแผนเพื่อยกระดับภาคส่วนหรือประเทศ แต่กลับพบว่าประชาชนกลับไม่ได้แสดงความคิดเห็นอย่างชอบธรรม อีกทั้งยังไม่มีโอกาสพูดถึงผลกระทบที่ได้รับ สิ่งเหล่านี้นับเป็นการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน
“การพัฒนาต่อไปที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้จำเป็นที่จะต้องให้ผู้คนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ หลายกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบยังถูกรัฐหลงลืม โครงการพัฒนาหรือการเปลี่ยนผ่านใดๆ ไม่ควรจะเป็นเครื่องมือในการละเมิดสิทธิมนุษยชน”
เปิดห้องพิจารณากฎหมายไทย และสิทธิที่ทำให้บ้านเป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย
ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาเกิดการพูดถึงสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเป็นส่วนใหญ่ แต่หากเจาะลึกลงไปจะพบว่ามีสิทธิชุมชน สิทธิชาติพันธุ์ชนเผ่าพื้นเมือง สิทธิสิ่งแวดล้อม รวมถึงความเท่าเทียมทางสังคมกลับพบว่าถูกซ่อนอยู่จำนวนมาก และเวทีเสวนาช่วงที่ 2 ในงานบ้านใหม่ใกล้ฉันฯ ได้ชำแหละกฎหมายสิทธิเหล่านี้ออกมาให้ได้เห็น ‘ผ.ศ.เสาวนีย์ แก้วจุลกาญจน์’ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายและนักวิจัย คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) กล่าวถึงสิทธิชุมชนบนมาตรฐานโลกว่าภาพใหญ่ของที่อยู่อาศัยนั้นคือที่ดิน การไล่รื้อที่ดินไม่ได้เกิดเพียงในประเทศไทยจึงได้มีกฎหมายอนุสัญญาว่าด้วยเรื่องที่ดินและที่อยู่อาศัยออกมา เพื่อเป็นกฎกติกาให้แก่ภาครัฐ ประชาชนจะมีสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตัวเองภายใต้ที่ดินที่ครอบครองได้ เช่น ‘สิทธิในอาหาร’ ที่อาจถูกละเมิดเมื่อผู้ใช้ที่ดินถูกยึดที่ดินไปทำเป็นแหล่งผลิตอาหาร ‘สิทธิในที่อยู่อาศัย’ อาจถูกละเมิดเมื่อผู้อยู่อาศัยถูกบังคับขับไล่ออกจากที่ดินที่ตนสร้างที่อยู่อาศัยไว้ ‘สิทธิในน้ำ’ อาจถูกละเมิดเมื่อแหล่งน้ำที่ชุมชนใช้ร่วมกันถูกปิดกั้นไม่ให้เข้าถึง เป็นต้น สะท้อนว่ารัฐมองเห็นเพียงคำว่าที่อยู่อาศัย แต่ไม่มองมุมกว้างถึงคำว่าที่ดินทำกิน จนส่งผลกระทบต่อประชาชน
‘พิมพ์ดาว จันทรขันตี’ ผู้อำนวยการสำนักคุ้มครองสิทธิมนุษยชน 1 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่ทำงานด้านการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน สรุปผลการร้องเรียนในปี 2567 ถึงสิทธิในที่อยู่อาศัยได้ 21 คำร้อง สิทธิในที่ดินรวม 35 คำร้อง ทำให้เห็นว่าหลายโครงการเกิดขึ้นโดยที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน และไม่มีการออกสิทธิ์ออกเสียงของตัวเอง
ทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไม่ได้นิ่งนอนใจ และกังวลถึงผลกระทบที่เกิดจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจด้านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นโครงการขนาดใหญ่เช่น มาบตาพุด บุคคลที่อยู่อาศัยในพื้นที่ ปัญหาที่ประชาชนขาดการมีส่วนร่วม ขาดการปรึกษาหารือ และผู้ที่ได้รับผลกระทบขาดการเข้าถึงข้อมูล คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ทำการพูดคุยหารือกับภาคประชาสังคมประเทศไทย ถึงกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน เพราะเมื่อพูดถึงที่อยู่อาศัยแล้ว บ้านไม่อาจอยู่ได้หากไม่มีที่ดิน
“การที่ประชาชนจะถือครองที่ดินได้ต้องมีมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอ มีสิทธิในสุขภาพ มีส่วนร่วมในเชิงวัฒนธรรม และสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเองภายใต้ที่ดินที่เรามี” เพราะไม่ว่าประชาชนจะมีเอกสารสิทธิในการถือครองที่ดินหรือไม่ ตราบใดที่เข้าไปอยู่อาศัยแล้วก็จะต้องได้รับความคุ้มครอง โดยเฉพาะพื้นที่ของชนเผ่าพื้นเมืองที่พวกเขาไม่ได้แค่อยู่อาศัย ทำมาหากินในพื้นที่ แต่เป็นเรื่องของจิตวิญญาณทางวัฒนธรรม
“การบังคับขับไล่ การพัฒนา และการโยกย้ายนั้นเกิดขึ้นได้ แต่จะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ และควรเป็นมาตรการสุดท้ายที่รัฐจะทำ” รัฐมักจะอ้างถึงการทำเพื่อประโยชน์สาธารณะที่ขาดความชัดเจนและเป็นไปอย่างคลุมเครือ แต่ตามหลักปฏิบัติพื้นฐานที่รัฐต้องยึดถือ ควรแจ้งเตือนการโยกย้าย ให้ข้อมูลล่วงหน้าว่าการพัฒนาจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบ มีระยะเวลาเพียงพอในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และผู้ถูกโยกย้ายมีสิทธิได้ค่าชดเชยเยียวยาอย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้เข้าตรวจสอบหลายพื้นที่ที่ไม่ได้รับการเยียวอย่างเป็นธรรม จึงอยากให้บริษัทและรัฐสื่อสารถึงนโยบายที่ทำไปแล้วเพื่อการทำงานร่วมกันที่ดียิ่งขึ้นไป เนื่องด้วยประเทศไทยได้ผูกพันธะลงนามระหว่างประเทศ ตามหลักสากลแล้วจึงไม่อาจเลี่ยงได้ที่จะตระหนักถึงสิทธิในที่อยู่อาศัยของประชาชนให้รอบด้าน รัฐควรหันกลับมาพินิจการพัฒนาในประเทศอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งว่าขณะนี้เรากำลังเดินไปข้างหน้า หรือกำลังเดินถอยหลังกันแน่
‘สุมิตรชัย หัตถสาร’ ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น (CPCR) ได้ตั้งคำถามถึงสิทธิชุมชน สิทธิในที่ดิน และทรัพยากรธรรมชาติที่กล่าวอ้างถึงการรับรอง แต่ไม่คุ้มครองสิทธิของผู้คน และคนจนมีสิทธินั้นจริงหรือไม่ เนื่องด้วยที่ผ่านมารัฐบาลไทยไม่สามารถทำตามกติการะหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากรายงานในปี 2568 ที่รัฐบาลประกาศนโยบายหนึ่งเรื่องการทวงคืนผืนป่า และนำเรื่องส่งสู่สหประชาชาติ (UN) แต่ถูกตั้งคำถามกลับถึงแผนที่รัฐบาลไทยวางไว้ด้วย เพราะต้องการจะปลูกป่าจากที่ดินของประชาชน ทั้งที่ที่ดินยังเป็นสิทธิมนุษยชนและหัวใจสำคัญของการดำเนินชีวิต ปัจจุบันที่ดินของรัฐมีอยู่ 60% ที่ดินของเอกชนที่มีกฎหมายรับรองสิทธิมี 39% ทำให้อดตั้งคำถามไม่ได้ว่าเราจะเดินเข้าสู่ความเป็นกฎหมายทางสากลได้ในวันไหน และอาจต้องใช้เวลาอย่างยาวนานเพื่อจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า
เสียงจากแผ่นดิน และเสียงจากผู้คิดถึงบ้าน
แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดไม่ได้ถูกกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย ในช่วงสุดท้ายของวงคุยของเวทีเสวนาบ้านใหม่ใกล้ฉันฯ มีผู้ที่เป็นประจักษ์พยาน หรือผู้ที่เผชิญกับความเสี่ยงในการไล่รื้อที่อยู่อาศัย นำคุยโดย ‘ธนกฤต โต้งฟ้า’ ผู้ประสานฝ่ายงานรณรงค์เอิร์ธไรท์ อินเตอร์เนชันแนล พูดถึงกรณีอย่างเหมืองแร่ในภาคเหนือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน คาร์บอนเครดิตที่จังหวัดภูเก็ต และแลนด์บริดจ์ที่กำลังก่อสร้างอยู่
‘พิเชษฐ์ ปานดำ’ ตัวแทนจากเครือข่ายประมงพื้นบ้านและชุมชนชายฝั่งอันดามัน ผู้อาศัยอยู่ในจังหวัดภูเก็ตกลางพื้นที่ที่มีการซื้อขายทรัพยากรเหมืองแร่มาโดยตลอด เขาเล่าว่าทรัพยากรเหมืองแร่หมดลงเมื่อต้นปี 2530 ทำให้ชุมชนเริ่มอยู่ไม่ได้ สถานการณ์บีบคั้นให้ผู้คนในชุมชนต้องลุกขึ้นมาหาวิธีฟื้นฟูทรัพยากร เพราะทั้งป่าชายเลน ที่ดิน และทะเลล้วนแล้วแต่เป็นพื้นที่สำคัญสำหรับพวกเขา ไม่นานหลังจากโรคระบาดโควิด-19 เริ่มซาลงก็ได้เกิดโครงการคาร์บอนเครดิตที่มีนโยบายก่อตั้งเพื่อลดภาวะโลกร้อน ป่าชายเลนที่เคยเป็นที่พึ่งพิงและเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน ถูกหมายตาให้เป็นพื้นที่หนึ่งของการก่อตั้งโครงการคาร์บอนเครดิต ชาวบ้านต่างลงเสียงว่าไม่ไว้วางใจในโครงการนี้ เนื่องด้วยเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ซื้อขายทรัพยากรเช่นที่ผ่านมา แค่เปลี่ยนรูปแบบไปก็เท่านั้น กลายเป็นการฟอกเขียวพื้นที่ป่าชายเลนและทำให้เกิดสภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้น แม้ชาวบ้านจะแสดงความกังวลถึงโครงการที่ไม่เป็นธรรมต่อพวกเขา ถึงสิทธิของชุมชนที่จะต้องย้ำการจัดความสัมพันธ์ของคน ทิศทางในการนำประชาชนไปข้างหน้า โดยเฉพาะในสังคมที่มีความผูกพันกับธรรมชาติ แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐ
“หลังปี 2540 สิทธิชุมชนในการกำหนดวิถีชีวิตและอนาคตของตนเองค่อยๆ ถูกลดทอนลง เดิมทีผู้คนเคยมีอำนาจตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิต ทำกิน และจัดการทรัพยากรของตัวเองอย่างไร แต่เมื่อระบบรัฐและการพัฒนาเปลี่ยนไป พวกเขากลับถูกผลักให้เป็นเพียง “อาสาสมัคร” หรือผู้ที่ถูกมองว่ามีจิตใจดีคอยช่วยงานรัฐ แทนที่จะเป็นเจ้าของสิทธิในการกำหนดชะตาของตัวเอง”
“เมื่อชาวชุมชนไม่สามารถควบคุมวิถีชีวิตได้อย่างเดิม การกลับไปออกทะเลหาปลา หรือเข้าป่าหาของป่า จึงไม่ได้หมายถึงแค่การทำมาหากิน แต่เป็นหนทางหนึ่งในการเยียวยาจิตใจ เพื่อยืนยันกับตนเองว่ายังมีคุณค่า และยังคงผูกพันกับวิถีชีวิตดั้งเดิมที่เคยเป็นเจ้าของจริงๆ”
“ความเป็นชนพื้นเมืองก็ถูกลดความสำคัญลงเช่นกัน เพราะรัฐและสังคมมักมองพวกเขาเพียงเป็นแรงงานไร้ฝีมือในระบบ










ร่วมแสดงความคิดเห็น