“ค่าไฟผ่านพ้นจุดสูงสุด “ไปแล้ว หลังจากนี้ทยอยลดลง

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการ สำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า สนพ.ได้ประเมินค่าไฟได้ผ่านพ้นจุดสูงสุดในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. 2566 ไปแล้ว เชื่อว่าหลังจากนี้ค่าไฟจะทยอยลดลง หลังปริมาณก๊าซอ่าวไทยเพิ่มเป็น 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ในเดือน ส.ค. และเป็น 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ช่วงปลายปีนี้ ประกอบกับราคาแอลเอ็นจีนำเข้าถูกลง จะนำไปลดค่าเอฟทีงวดถัดไป สำหรับเดือน ก.ย.-ธ.ค. 2566 ที่อาจมีโอกาสได้เห็นค่าไฟเฉลี่ย ที่เรียกเก็บกับประชาชนลงมาอยู่ที่ระดับ 4.30-4.40 บาทต่อหน่วยได้


“นอกเหนือจากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของก๊าซในอ่าวไทย จะทำให้ค่าไฟราคาถูกลงแล้ว อีกส่วนหนึ่งมาจากราคาก๊าซธรรมชาติจากตลาดจร (แอลเอ็นจี สปอต) ก็ราคาลดลงเช่นเดียวกัน จากงวดก่อนที่อยู่ประมาณ 24 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู ลงมาอยู่ที่ 14.87 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู”


นายวัฒนพงษ์ กล่าวว่า การรับซื้อไฟฟ้าเป็นอัตราส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (แอดเดอร์) ยังมีปัญหาอยู่ เพราะว่าในตอนนั้นที่ตั้งเกณฑ์ขึ้นมากำหนด ให้มีการต่อสัญญาอัตโนมัติทุก 5 ปี จากระยะสัญญาตั้งต้น 10 ปี ซึ่งถือว่าเป็นอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่แพง ขณะเดียวกันภาคอุตสาหกรรม ก็ยังอ้างว่าไม่สามารถลดอัตราซื้อขายได้ เพราะมีสัญญากำหนดไว้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทมหาชนทั้งสิ้น ซึ่งเป็นอัตราที่บวกไปกับต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายที่ 0.1384 สตางค์ต่อหน่วย หรือคิดเป็น 2.90% จากต้นทุนที่มาจากนโยบายของรัฐ
ส่วนค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นนั้นเป็นเรื่องของต้นทุนเชื้อเพลิง เนื่องจาก 50-60% ของการคิดค่าไฟมาจากเชื้อเพลิง นอกจากนั้นจะเป็นส่วนของต้นทุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ,ต้นทุนระบบส่งไฟฟ้า และต้นทุนขายปลีกและจำหน่าย จึงไม่เกี่ยวกับการสำรองไฟฟ้า หรือ อาร์เอ็ม ของประเทศ เมื่อมาดูข้อมูลจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะเห็นได้ว่าประเทศไทยก็ยังมีสำรองไฟฟ้าไม่สูงมากนัก โดยแบ่งตัวอย่างสัดส่วนอาร์เอ็ม ปี 59 เช่น สเปน มี อาร์เอ็ม ที่ 180% สัดส่วนพลังงานหมุนเวียน51.1%, อิตาลี อาร์เอ็ม 136% สัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 44.8%

ร่วมแสดงความคิดเห็น