ฟื้นศรัทธา คืนศิลปะล้านนา พระธาตุดอยตุง

พระธาตุดอยตุง เจดีย์คู่บนยอดดอยที่สูงเสียดฟ้าในจังหวัดเชียงราย กลับมาสู่ความงามตามศิลปะล้านนา หลังการบูรณะครั้งใหญ่โดยกรมศิลปากร ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากชาวเชียงราย ด้วยงบประมาณกว่า 22 ล้านบาท เพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระธาตุดอยตุงถือเป็นเจดีย์แห่งแรกของล้านนา สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1454 โดยพระมหากัสสปะเถระและพระเจ้าอุชุราช เพื่อน้อมบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระรากขวัญเบื้องซ้าย ในช่วงสมัยครูบาศรีวิชัย พระธาตุได้รับการบูรณะให้เป็นเจดีย์คู่ทรงระฆังแบบล้านนา ก่อนที่ในปี พ.ศ. 2516 รูปทรงของพระธาตุจะถูกปรับเปลี่ยนเป็นทรงปราสาทตามแบบศิลปะภาคกลาง ภายใต้การออกแบบของ อ.จิตร บัวบุศย์ อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนดังกล่าวถูกวิจารณ์จากคนในพื้นที่ และในที่สุดพระธาตุก็กลับคืนสู่รูปแบบล้านนาในการบูรณะครั้งล่าสุด เบื้องหลังการบูรณะจากรากฐานดั้งเดิมการบูรณะครั้งนี้ นอกจากปรับคืนรูปแบบศิลปะล้านนา ยังมีการขุดเจาะเพื่อสำรวจทางโบราณคดี พบร่องรอยพระธาตุดั้งเดิมที่สร้างในยุคแรกใต้ชั้นดินลึกถึง 2 เมตร รวมถึงฐานเจดีย์รุ่นก่อนครูบาศรีวิชัย บ่งชี้ว่าพระธาตุผ่านการบูรณะอย่างน้อย 3 ครั้งในประวัติศาสตร์ นอกจากตัวพระธาตุ ยังมีการปรับภูมิทัศน์รอบองค์เจดีย์ เช่น การปรับปรุงพระอุโบสถให้เป็นแบบล้านนา สร้างศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยว ปรับพื้นที่สีเขียว และสร้างบันไดนาคใหม่ เพิ่มความสะดวกแก่ผู้มาเยือน การบูรณะพระธาตุอื่นในเชียงรายโครงการบูรณะยังครอบคลุมโบราณสถานอื่นในเชียงราย เช่น พระธาตุที่เปลี่ยนแปลงด้วยศรัทธาพระธาตุดอยตุงและโบราณสถานอื่นในเชียงราย ไม่ได้เพียงได้รับการบูรณะเพื่อตอบสนองต่อความเสื่อมสภาพ แต่ยังสะท้อนความศรัทธาของชุมชนที่ต้องการคืนความงามดั้งเดิม พร้อมเชื่อมโยงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมล้านนาให้คงอยู่ในยุคสมัยใหม่ […]

กาดหลวง ย่านการค้าริมแม่น้ำปิงที่เติบโตเคียงคู่เมืองเชียงใหม่

การก่อตัวของชุมชนย่านการค้าริมแม่น้ำปิงในเชียงใหม่เริ่มขึ้นในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อพ่อค้าชาวจีนเข้ามาแสวงหาโอกาสในการค้าขาย โดยเฉพาะในช่วงรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นยุคที่การติดต่อค้าขายระหว่างเชียงใหม่และกรุงเทพฯ มีความคึกคัก การเดินเรือสินค้าบนแม่น้ำปิงกลายเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งสินค้า ทำให้พื้นที่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิงซึ่งเป็นจุดเทียบท่าเรือสำคัญ กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ชุมชนพ่อค้าชาวจีนเริ่มตั้งรกรากบริเวณนี้อย่างเด่นชัดในช่วงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งและการขูดรีดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ฝั่งตะวันออก ทำให้ประชาชนจำนวนมากอพยพข้ามมายังฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิง ก่อให้เกิดชุมชนการค้าใหม่ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว กำเนิดตลาดวโรรสและการพัฒนาย่านเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2432 “ตลาดวโรรส” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กาดหลวง” ได้เริ่มต้นขึ้นในฐานะพื้นที่ชุมชนการค้า โดยมีตลาดต้นลำไยซึ่งเคยเป็นแหล่งเลี้ยงและอาบน้ำช้างของเจ้าหลวงเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา ในยุคแรก พื้นที่นี้มีการสร้าง “เฮือนแป” หรือห้องแถวไม้เพื่อให้คนงานอาศัยอยู่ และต่อมาเมื่อประชากรเพิ่มขึ้น เฮือนแปเหล่านี้ก็ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่เช่าสำหรับพ่อค้าชาวจีนและคนพื้นเมืองที่อพยพเข้ามา เมื่อจำนวนผู้ค้าเพิ่มมากขึ้น การค้าขายที่เริ่มต้นจากการวางสินค้าขายใต้ร่มไม้หรือการหาบเร่ก็ขยายตัวจนกลายเป็นตลาดถาวร มีการสร้างอาคารร้านค้าเรียงรายตามถนน ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าของเชียงใหม่ เจ้าดารารัศมีมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาพื้นที่นี้ ทรงมีแนวคิดเปลี่ยนพื้นที่ “ข่วงเมรุ” ซึ่งเป็นสุสานของเจ้านายล้านนา ให้กลายเป็นพื้นที่โล่งกว้างคล้าย “ท้องสนามหลวง” ในกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพื้นที่ตลาดเติบโตอย่างรวดเร็ว พื้นที่บางส่วนของข่วงเมรุก็ถูกพัฒนาให้เป็น “ตลาดวโรรส” การเติบโตและการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญการมาถึงของรถไฟในปี พ.ศ. 2464 ทำให้การคมนาคมสะดวกขึ้นอย่างมาก และส่งผลให้ตลาดวโรรสและย่านการค้ารอบข้างกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของเชียงใหม่ ผู้ค้าจากหลากหลายภูมิภาคเดินทางเข้ามาค้าขายในพื้นที่นี้อย่างหนาแน่น ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พื้นที่ตลาดได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย อาคารไม้เก่าแก่ที่ทรุดโทรมถูกแทนที่ด้วยอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ตลาดวโรรสกลายเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าและพื้นที่ค้าขายที่สำคัญที่สุดในภาคเหนือ อย่างไรก็ตาม […]

อุทยานหลวงราชพฤกษ์ มหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติและหอคำหลวง

จุดเริ่มต้นแห่งความสำเร็จของมหกรรมพืชสวนโลกในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 60 ปี ในปี พ.ศ. 2549 และทรงเจริญพระชนมายุ 80 พรรษาในปี 2550 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้จัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติ ภายใต้ชื่อ “ราชพฤกษ์ 2549” ณ ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ ตำบลแม่เหียะ จังหวัดเชียงใหม่ งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2549 ถึง 31 มกราคม 2550 รวม 92 วัน บนพื้นที่กว่า 468 ไร่ ซึ่งประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในเวทีระดับโลก หลังงานมหกรรมสิ้นสุดลง คณะรัฐมนตรีมีมติในปี 2551 ให้สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) เข้าบริหารจัดการพื้นที่เดิม เพื่อพัฒนาสวนเฉลิมพระเกียรติให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางการเกษตรและวัฒนธรรมของประเทศไทย และในปี 2553 สวนได้รับพระราชทานชื่ออย่างเป็นทางการว่า “อุทยานหลวงราชพฤกษ์” (Royal Park Rajapruek) อันหมายถึงสวนของพระมหากษัตริย์ โดยต้นราชพฤกษ์หรือคูนที่ได้รับการยกย่องเป็นดอกไม้ประจำชาติไทยยังเป็นสัญลักษณ์สำคัญของสถานที่แห่งนี้ ในฐานะจุดเด่นและศูนย์กลางของงานมหกรรม หอคำหลวงถูกสร้างขึ้นเพื่อนำเสนอพระอัจฉริยภาพด้านการเกษตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภายใต้แนวคิด “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทย” อาคารได้รับการออกแบบและสร้างสรรค์โดยทีมช่างสิบหมู่ล้านนา […]

ตานก๋วยสลาก ประเพณีแห่งสายใยของชุมชนล้านนา

ประเพณีตานก๋วยสลาก หรือที่ชาวไทยภาคกลางเรียกว่า สลากภัต เป็นหนึ่งในประเพณีสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่สืบทอดมาแต่ครั้งพุทธกาล โดยเฉพาะในภาคเหนือของประเทศไทย ประเพณีนี้มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น เช่น ตานสลาก กิ๋นข้าวสลาก กิ๋นก๋วยสลาก แต่ล้วนหมายถึงพิธีกรรมเดียวกัน แม้รายละเอียดในแต่ละพื้นที่จะต่างกันบ้าง ตานก๋วยสลากจัดขึ้นระหว่างเดือน 12 เหนือถึงเดือนยี่เหนือ หรือช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวบ้านว่างเว้นจากการทำนาและผลไม้ในท้องถิ่นกำลังสุก ชาวบ้านถือโอกาสนี้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ และยังเป็นการสงเคราะห์ผู้ยากไร้ในชุมชน ก่อนถึงวันตานก๋วยสลากจะมี วันดา หรือ วันสุกดิบ ชาวบ้านจะเตรียมสิ่งของต่าง ๆ ใส่ใน ก๋วย ซึ่งเป็นตะกร้าสานด้วยไม้ไผ่ หรือในปัจจุบันอาจใช้ถังพลาสติกหรือถังอะลูมิเนียมแทน ของที่ใส่ในก๋วยมีทั้งอาหาร ขนม ดอกไม้ และของใช้จำเป็น เช่น ข้าวสาร แคบหมู ไส้อั่ว หมูหนึ่ง ปลานึ่ง รวมถึงของใช้ในชีวิตประจำวันอย่างสบู่ ยาสีฟัน และสมุด ก๋วยสลากแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ ก๋วยน้อย และ ก๋วยใหญ่ ซึ่งบางครั้งจะมีการทำ ก๋วยโจ้ค หรือก๋วยขนาดใหญ่ที่ตกแต่งสวยงาม บางก๋วยอาจมีการใส่ข้าวของเครื่องใช้มากเป็นพิเศษ เช่น หวี […]

ศิลปกรรม “ลายคำ” ศิลปะที่สะท้อนความงามในทุกองค์ประกอบ

ในดินแดนล้านนาอันลึกลับและเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน ศิลปกรรมลายคำถือเป็นมรดกทางศิลปะที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนในภูมิภาคนี้ ทั้งในด้านความงามและความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา งานศิลปะลายคำที่พบในศาสนสถานต่าง ๆ ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการแสดงออกถึงความเชื่อและศรัทธาของชาวล้านนา ซึ่งการทำลายคำก็ถือเป็นศิลปะที่เป็นทั้งความสวยงามและเครื่องมือทางศาสนาที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในวิถีชีวิตของผู้คน การประดิษฐ์ศิลปกรรมลายคำล้านนา ศิลปะที่สะท้อนทั้งความเชื่อและความงดงามศิลปกรรมลายคำล้านนาไม่ได้เพียงแต่เป็นงานศิลป์ที่ใช้ตกแต่งหรือประดับตกแต่งสถานที่เท่านั้น แต่ยังมีความหมายเชิงลึกที่เชื่อมโยงกับพระพุทธศาสนาและวิถีชีวิตของชาวล้านนาอย่างแนบแน่น โดยการประดิษฐ์งานลายคำล้านนาจะใช้ทองคำบริสุทธิ์เป็นวัสดุหลัก ซึ่งมีคุณสมบัติในการสะท้อนแสงและความงามได้อย่างวิจิตรบรรจง การใช้ทองคำที่แผ่นบางและประดับลงไปในลวดลายต่าง ๆ ของศิลปะล้านนาไม่เพียงแค่สวยงามแต่ยังเป็นการแสดงถึงการเคารพในพระพุทธศาสนา และการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผ่านความงดงามที่แผ่กระจายออกมา การตกแต่งศาสนสถานด้วยศิลปกรรมลายคำมีความสำคัญมากในด้านการสร้างความศักดิ์สิทธิ์ และในฐานะที่ศิลปกรรมเหล่านี้ถูกใช้ในกิจกรรมทางศาสนา ทั้งในงานบูชาและพิธีกรรมต่าง ๆ ลายคำจะปรากฏในลักษณะของลวดลายที่ประดับภายในวิหารพระพุทธรูป โครงสร้างศาสนสถาน และเจดีย์ นอกจากนี้ ยังพบเห็นในเครื่องสักการะที่ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาและในเครื่องประกอบยศที่มีความสำคัญในสังคมล้านนา สถาปัตยกรรมและจิตรกรรมที่ใช้ลายคำ การบอกเล่าเรื่องราวผ่านศิลปะเมื่อกล่าวถึงศิลปกรรมลายคำแล้ว สถาปัตยกรรมภายในศาสนสถานต่าง ๆ เป็นที่ที่สามารถเห็นถึงการใช้ศิลปกรรมนี้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นที่วิหารพระสิงห์ที่วัดพระสิงห์ในจังหวัดเชียงใหม่ หรือที่วัดเจดีย์หลวงในเชียงราย ลวดลายทองคำที่ประดับอยู่บนเสา โครงสร้างและฝาผนังของวิหารต่าง ๆ ได้สะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ของสังคมล้านนาในช่วงเวลาที่เจริญรุ่งเรือง การนำศิลปกรรมลายคำมาใช้ในจิตรกรรมและการตกแต่งอื่น ๆ ทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างศิลปะการวาดภาพและศิลปะการตกแต่ง ทำให้เกิดภาพที่มีความหมายลึกซึ้งในเชิงสัญลักษณ์ ในภาพจิตรกรรมที่ประดับอยู่ในวัดต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นการบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติหรือเรื่องราวทางศาสนา ที่นอกจากจะเป็นการศึกษาเรื่องราวเหล่านี้แล้ว ยังมีการใช้ทองคำในการสร้างความรู้สึกของความศักดิ์สิทธิ์และเป็นการยกย่องความสำคัญของบุญบารมีของพระพุทธเจ้าที่มาพร้อมกับความสวยงามของศิลปะ ศิลปกรรมลายคำกับความเชื่อทางศาสนางานลายคำล้านนาไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงการตกแต่งศาสนสถานเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงออกถึงความเชื่อในพุทธศาสนา ศิลปกรรมลายคำเป็นการใช้ทองคำเพื่อให้เกิดความงามอันบริสุทธิ์และส่องแสงออกไป ยังสร้างความรู้สึกของความศักดิ์สิทธิ์ ที่การบูชาในพุทธศาสนาเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมให้ผู้บูชามีชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถหลุดพ้นจากทุกข์ได้ ความละเอียดและความประณีตในลวดลายทองคำที่พบเห็นในพระพุทธรูปและโครงสร้างศาสนสถานต่าง ๆ จึงเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของการยกย่องพระพุทธศาสนาและเป็นการแสดงความศรัทธาของชาวล้านนาต่อพระพุทธเจ้าผ่านการสร้างสรรค์งานศิลป์ การสืบทอดศิลปกรรมลายคำแม้ว่าจะเป็นงานศิลปะที่มีอายุยาวนานหลายร้อยปี แต่ศิลปกรรมลายคำล้านนาไม่ได้สูญหายไปกับกาลเวลา […]

วัดโลกโมฬี อารามแห่งมรดกประวัติศาสตร์

วัดโลกโมฬี ตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ เป็นวัดเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและสำคัญในแง่ของศิลปะและวัฒนธรรมล้านนา โดยได้รับการสืบทอดและดูแลจากพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์มังรายตั้งแต่สมัยโบราณ จุดเริ่มต้นของวัดนี้สามารถย้อนกลับไปถึงปี พ.ศ. 2070 เมื่อพระเกษเกล้า พระมหากษัตริย์แห่งเชียงใหม่ได้โปรดเกล้าฯ ยกบ้านหัวเวียงให้เป็นวัดและได้ทำการก่อสร้างเจดีย์และวิหารขึ้นภายในบริเวณวัด ประวัติการก่อสร้างและความสำคัญในปี พ.ศ. 2071 พระเกษเกล้าได้สร้างเจดีย์วัดโลกโมฬีขึ้น ซึ่งเป็นเจดีย์ทรงปราสาทที่มีลักษณะเด่นทางสถาปัตยกรรมล้านนา หลังจากการสวรรคตของพระเกษเกล้า ได้มีการบรรจุพระอัฐิของพระองค์ไว้ภายในเจดีย์แห่งนี้ เป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านและนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศ นอกจากเจดีย์แล้ว วัดโลกโมฬียังมีวิหารหลวงที่สร้างขึ้นภายหลัง ซึ่งได้รับการบูรณะและยกฐานะจากวัดร้างมาเป็นวัดที่มีพระภิกษุจำพรรษา วิหารนี้มีการออกแบบในรูปแบบสถาปัตยกรรมล้านนา โดยใช้ไม้สักเป็นวัสดุหลักในการสร้างและตกแต่ง ภายในวิหารมีพระพุทธรูปปางสมาธิประดิษฐานอยู่ และมีเพดานและต้นเสาแกะสลักลวดลายต่างๆ อย่างงดงาม เจดีย์วัดโลกโมฬี ความงดงามของสถาปัตยกรรมล้านนาเจดีย์วัดโลกโมฬีเป็นสัญลักษณ์สำคัญของวัดและศิลปะล้านนา สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2071 ด้วยรูปทรงปราสาทที่มีความสูงและความสวยงามของรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง การสร้างเจดีย์ในช่วงดังกล่าวมีการปรับปรุงรูปแบบต่างๆ เช่น การเพิ่มจำนวนฐานปัทม์ และการตกแต่งด้วยลูกแก้วอกไก่และซุ้มจระนำที่สะท้อนถึงความงามและความประณีตของศิลปะล้านนา โดยเฉพาะที่ยอดเจดีย์ได้มีการเพิ่มรูปทรงระฆังและบัลลังก์สิบสองเหลี่ยม ทำให้เจดีย์แห่งนี้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของวัดที่ได้รับความเคารพและสักการะจากประชาชน วิหารหลวงและพระพุทธรูป “พระพุทธสันติจิรบรมโลกนาถ”วิหารหลวงที่อยู่ภายในวัดโลกโมฬีถือเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่สะท้อนถึงศิลปะและความศรัทธาของผู้สร้าง พระพุทธรูปปางสมาธิภายในวิหารได้รับการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้บนพระเมาลีในปี พ.ศ. 2546 ซึ่งทำให้วิหารแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ที่มาเยือน เพื่อสักการะและทำบุญ นอกจากนี้ภายในวัดยังมีมณฑปพระนางจิรประภามหาเทวี ที่ประดิษฐานพระรูปของพระนางจิรประภามหาเทวี ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการอุปถัมภ์วัดโลกโมฬีในสมัยที่พระองค์ทรงครองราชย์ในเมืองเชียงใหม่ การสร้างมณฑปนี้ทำให้ผู้คนในปัจจุบันได้ระลึกถึงพระคุณและคุณงามความดีของพระนางจิรประภา กิจกรรมและประเพณีสำคัญของวัดโลกโมฬีวัดโลกโมฬีมีความสำคัญไม่เพียงแต่ในด้านประวัติศาสตร์และศิลปะ แต่ยังเป็นศูนย์กลางในการสืบสานประเพณีและกิจกรรมทางศาสนา โดยมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ในรอบปี เช่น การสืบสานประเพณีสงกรานต์ […]

อนุรักษ์ใบลานล้านนา มรดกวัฒนธรรมที่ต้องสืบทอด

ใบลานล้านนาเป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงภูมิปัญญาและวิถีชีวิตของคนในดินแดนล้านนา (ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย) ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและวัฒนธรรมที่สำคัญในอดีต การใช้ใบลานในล้านนามีประวัติศาสตร์ยาวนานที่เชื่อมโยงกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและการจดบันทึกองค์ความรู้ในหลายมิติ การใช้ใบลานเป็นวัสดุสำหรับบันทึกข้อมูลมีรากฐานมาจากดินแดนอินเดียตอนใต้ และได้แพร่ขยายมาพร้อมกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงล้านนา ในอดีต ใบลานถูกเลือกใช้เพราะหาได้ง่ายในธรรมชาติ มีความทนทานเมื่อผ่านกระบวนการแปรรูปที่เหมาะสม เช่น การตัดใบลานจากต้น นำมาตากแห้ง ขูดให้เรียบ แล้วใช้เหล็กแหลมจารข้อความ การใช้ใบลานในล้านนาในล้านนา ใบลานถูกนำมาใช้บันทึกเรื่องราวที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งด้านศาสนาและชีวิตประจำวัน ช่วงยุคทองของการใช้ใบลานในล้านนาคือระหว่าง พุทธศตวรรษที่ 18-24 ซึ่งตรงกับช่วงที่อาณาจักรล้านนาเจริญรุ่งเรือง ใบลานถูกใช้ในทุกมิติของชีวิต สอดคล้องกับการเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมของภูมิภาคนี้ วัดในล้านนากลายเป็นศูนย์กลางการผลิตและจัดเก็บใบลาน โดยพระสงฆ์ทำหน้าที่ทั้งจารข้อความและถ่ายทอดความรู้ที่บันทึกไว้ในใบลานให้กับชุมชน เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายอาณาจักรล้านนาและยุคปัจจุบัน ความนิยมในการใช้ใบลานเริ่มลดลง เนื่องจากมีการพิมพ์หนังสือในรูปแบบใหม่ที่ง่ายต่อการผลิตและจัดเก็บ ส่งผลให้ใบลานที่จารึกด้วยมือสูญเสียบทบาทดั้งเดิม ปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการลดลงของใบลานในล้านนา ได้แก่1. การอ่านและเขียนอักษรธรรมล้านนาลดลง2. การเก็บรักษาไม่เหมาะสม ทำให้ใบลานเสื่อมสภาพและสูญหาย3. การไม่ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของใบลานในชุมชน การอนุรักษ์ใบลานล้านนาในปัจจุบันในปัจจุบัน มีความพยายามอนุรักษ์ใบลานล้านนาในหลายด้าน เช่น1. โครงการสำรวจและบันทึกใบลานวัด สถาบันการศึกษา และหน่วยงานด้านวัฒนธรรมร่วมมือกันสำรวจและจัดทำฐานข้อมูลใบลาน2. การปริวรรตข้อความข้อความในใบลานที่จารึกด้วยอักษรธรรมล้านนาได้รับการถอดความและแปลเป็นอักษรไทย เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษา3. การเผยแพร่ความรู้มีการจัดกิจกรรมและนิทรรศการเกี่ยวกับใบลาน เพื่อสร้างความตระหนักในชุมชนถึงคุณค่าของมรดกวัฒนธรรมนี้ เพื่อแก้ไขวิกฤตนี้ สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ได้ริเริ่มโครงการบริการวิชาการแก่ชุมชน โดยมุ่งเน้นการสำรวจ อนุรักษ์ […]

“พระนางจามเทวี” ปฐมกษัตริย์ผู้ก่อร่างหริภุญไชย

พระนางจามเทวี ทรงเป็นบุคคลสำคัญที่ได้รับการยกย่องในฐานะปฐมกษัตริย์แห่ง นครหริภุญไชย (ปัจจุบันคือจังหวัดลำพูน) และเป็นผู้วางรากฐานการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนล้านนา พระนางเป็นพระราชธิดาของ พระเจ้าจักรพรรดิราช แห่งกรุงละโว้ (ลพบุรี) และได้รับการอัญเชิญจากสุกกทันตฤษีและวาสุเทพฤษี ให้เสด็จมาปกครองเมืองหริภุญไชย ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในภาคเหนือของไทย ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ เช่น ชินกาลมาลีปกรณ์ และงานวิจัยของ นายมานิต วัลลิโภดม ระบุว่า พระนางจามเทวีทรงครองราชย์ราวปี พ.ศ. 1205 ระยะเวลาการครองราชย์มีความแตกต่างกันตามตำนานและการวิเคราะห์ เช่น 7 ปี หรือ 17 ปี พระนางเป็นที่รู้จักในฐานะกษัตริย์ที่ทรงปัญญาและศรัทธาแรงกล้าต่อพระพุทธศาสนา แม้พระนางจะเป็นแม่หม้ายหลังจากพระสวามีแห่งเมืองรามัญสิ้นพระชนม์ แต่ยังทรงประสูติพระโอรสฝาแฝด มหันตยศ และ อนันตยศ เมื่อเสด็จมาถึงเมืองหริภุญไชย การสถาปนาอาณาจักรและพุทธศาสนาพระนางทรงนำพาสมณะชีพราหมณ์ พ่อค้า และช่างฝีมือกว่า 7,000 คน ล่องแม่น้ำปิงมายังเมืองหริภุญไชย ระหว่างทางยังได้เผยแผ่วัฒนธรรมและพระพุทธศาสนาแก่เมืองต่าง ๆ การสร้างเมืองหริภุญไชยได้รับการวางผังเมืองอย่างเป็นระเบียบ และทรงสร้าง จตุรพุทธปราการ หรือวัดประจำสี่ทิศ ได้แก่ นอกจากนี้ พระนางยังทรงใช้ กุศโลบายทางสันติ เพื่อจัดการกับภัยคุกคามจาก ขุนหลวงวิลังคะ ผู้นำเผ่าละว้า […]

เครื่องถ้วยล้านนา ศิลปะและภูมิปัญญาโบราณ

เครื่องถ้วยล้านนาเป็นหนึ่งในมรดกทางศิลปะที่สะท้อนถึงความเจริญรุ่งเรืองของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตในดินแดนล้านนาในอดีต ความงดงามและความประณีตของเครื่องถ้วยชนิดนี้เกิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างเทคนิคท้องถิ่นและอิทธิพลจากภายนอก เช่น สุโขทัยและจีน โดดเด่นด้วยการปรับรูปแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในแต่ละแหล่งผลิต แม้เครื่องถ้วยล้านนาจะเริ่มสูญหายไปจากการใช้งานในชีวิตประจำวัน แต่คุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของมันยังคงโดดเด่นไม่เสื่อมคลาย ประวัติศาสตร์และจุดเริ่มต้นเครื่องถ้วยล้านนามีต้นกำเนิดที่เชื่อมโยงกับเครื่องถ้วยสังคโลกของสุโขทัยในช่วงพุทธศตวรรษที่ 19-20 วัฒนธรรมการผลิตเครื่องปั้นดินเผาแบบเคลือบได้รับการถ่ายทอดมายังล้านนาผ่านการค้าขายและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะในยุคพญายุธิษฐิระ เจ้าเมืองสองแคว ที่นำผู้คนและภูมิปัญญามายังดินแดนล้านนาในยุคของพระเจ้าติโลกราช แหล่งเตาเผาเครื่องถ้วยเริ่มกระจายตัวในพื้นที่ต่าง ๆ ของล้านนา เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง พะเยา และน่าน เครื่องถ้วยล้านนาเจริญรุ่งเรืองในช่วงพุทธศตวรรษที่ 21-23 โดยผลิตทั้งเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันและส่งออกไปยังพื้นที่ใกล้เคียง เช่น พม่า จีนตอนใต้ และอาณาจักรใกล้เคียง นอกจากจะสะท้อนความสามารถในด้านศิลปะและเทคนิคการผลิตแล้ว ยังบ่งบอกถึงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างล้านนาและต่างชาติ แหล่งเตาเผาสำคัญและเอกลักษณ์ของเครื่องถ้วยล้านนาเครื่องถ้วยล้านนาแต่ละแหล่งผลิตมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สะท้อนถึงสภาพภูมิศาสตร์ วัสดุ และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่แตกต่างกัน ดังนี้: 1. เตาสันกำแพง (เชียงใหม่)เป็นแหล่งผลิตเครื่องถ้วยที่ใหญ่ที่สุดในล้านนา ผลิตภาชนะขนาดใหญ่ เช่น ชามและจาน ลวดลายโดดเด่น ได้แก่ ลายปลาคู่ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิดหยิน-หยางของจีน เนื้อดินหยาบ สีเขียวไข่กา และเคลือบใสที่ไม่ค่อยมีคุณภาพ เนื่องจากขาดการควบคุมอุณหภูมิในการเผาอย่างแม่นยำ 2. เตาเวียงกาหลง (เชียงราย)ผลิตเครื่องเคลือบที่เน้นความประณีต มีเนื้อดินขาวละเอียด ทำจากดินเกาลิน ลวดลายยอดนิยม […]

บ้านถวาย แหล่งหัตถกรรมไม้แกะสลัก สู่ชุมชนต้นแบบ OTOP

หากพูดถึงงานหัตถกรรมไม้แกะสลัก ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในประเทศไทย คงไม่มีใครไม่รู้จัก “หมู่บ้านถวาย” ตำบลขุนคง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของภูมิปัญญาพื้นบ้าน ที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นจนกลายเป็นแหล่งผลิตงานศิลปะไม้แกะสลักที่สำคัญ และเป็นชุมชนต้นแบบในโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) จุดเริ่มต้นจากวิกฤตเกษตรสู่ความรุ่งเรืองในงานไม้แกะสลักตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ หมู่บ้านถวายมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 300 ปี เดิมทีชาวบ้านมีอาชีพเกษตรกรรม แต่ช่วงปี พ.ศ. 2500-2505 หมู่บ้านประสบปัญหาภัยแล้งและเศรษฐกิจตกต่ำ ชาวบ้านบางส่วนจึงเดินทางออกไปรับจ้างในตัวเมืองเชียงใหม่ หนึ่งในนั้นคือ “พ่อใจมา อิ่นแก้ว” และเพื่อนอีกสองคนที่ไปทำงานในร้านน้อมศิลป์ ย่านวัวลาย ร้านที่มีชื่อเสียงด้านงานไม้แกะสลัก ด้วยความสนใจและการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง สามคนนี้ได้เรียนรู้เทคนิคการแกะสลักจากช่างฝีมือในร้าน ก่อนจะนำทักษะกลับมาพัฒนาฝีมือที่บ้านถวาย โดยมีญาติพี่น้องช่วยเหลือ จนเกิดเป็นการถ่ายทอดภูมิปัญญาการแกะสลักสู่ชาวบ้าน ทำให้หมู่บ้านค่อย ๆ กลายเป็นแหล่งผลิตงานหัตถกรรมไม้แกะสลักที่ได้รับความนิยม การรวมตัวเพื่อสืบสานภูมิปัญญาและขยายศูนย์หัตถกรรมในปี พ.ศ. 2532 ภายใต้การนำของพ่อหลวงคำมูล บุตรชัย ชาวบ้านถวายที่มีใจรักในงานหัตถกรรมได้รวมตัวกันจัดงาน “ศิลปหัตถกรรมไม้แกะสลักบ้านถวาย” ร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อประชาสัมพันธ์งานฝีมือของชาวบ้าน และต่อมาได้พัฒนาศูนย์หัตถกรรมไม้แกะสลักบ้านถวายขึ้น ณ บริเวณสองฝั่งคลองชลประทาน แม้ว่าจะเคยประสบปัญหาการขอใช้พื้นที่จากกรมชลประทาน แต่ด้วยความมุ่งมั่นของชาวบ้าน สุดท้ายพื้นที่ดังกล่าวก็ได้รับอนุญาตให้พัฒนาเป็นตลาดค้าขายถาวร ทำให้ร้านค้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงหัตถกรรมที่มีชื่อเสียง […]

วัดภูมินทร์ ศิลปกรรมแห่งเมืองน่าน มรดกทรงคุณค่ากว่า 400 ปี

ประวัติศาสตร์และความสำคัญของวัดภูมินทร์วัดภูมินทร์เป็นหนึ่งในวัดสำคัญและงดงามที่สุดของจังหวัดน่าน สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2139 โดย พระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 40 เดิมชื่อว่า “วัดพรหมมินทร์” ซึ่งต่อมาชื่อได้เพี้ยนกลายมาเป็น “วัดภูมินทร์” ตามที่ปรากฏในเอกสารคัมภีร์เมืองเหนือ วัดนี้มีอายุยาวนานกว่า 424 ปี (นับถึง พ.ศ. 2563) และถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาวน่าน สถาปัตยกรรมจตุรมุขที่โดดเด่นและหาชมได้ยากสิ่งที่ทำให้วัดภูมินทร์มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร คือ พระอุโบสถและพระวิหารที่รวมอยู่ในอาคารเดียวกัน มีลักษณะเป็นอาคารจตุรมุข (มีทางเข้าออก 4 ด้าน) ซึ่งเป็นวัดแรกในประเทศไทยที่ใช้รูปแบบนี้ โครงสร้างอาคารได้รับการค้ำด้วย เสาไม้สัก 12 ต้น ที่ประดับด้วยลวดลายลงรักปิดทองอย่างประณีต บริเวณบันไดทางขึ้นพระอุโบสถมี พญานาค ขนาบทั้งสองข้าง ชาวบ้านเรียกพญานาคนี้ว่า “นาคสะดุ้ง” เชื่อกันว่าพญานาคเหล่านี้คอยหนุนค้ำพระอุโบสถไว้ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าหากคู่รักเดินลอดใต้บันไดนาคครบ 3 รอบ ตามเข็มนาฬิกา จะสมหวังในความรัก และสำหรับผู้ที่มาเยือนจากแดนไกล เชื่อว่าจะได้กลับมาเยือนเมืองน่านอีกครั้ง จิตรกรรม “ฮูบแต้ม” กระซิบรักบันลือโลก และวิถีชีวิตชาวน่านอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ทำให้วัดภูมินทร์มีชื่อเสียงโด่งดังคือ จิตรกรรมฝาผนัง “ฮูบแต้ม” ซึ่งวาดขึ้นในสมัยของ เจ้าอนันตวรฤทธิเดช บอกเล่าเรื่องราวพุทธชาดกและวิถีชีวิตของชาวน่านในอดีต […]

งามอย่างล้านนา เอกลักษณ์การแต่งกายสตรีด้วยซิ่นทอมือ

การแต่งกายของสตรีล้านนาในอดีตไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความงามของหญิงชาวเหนือ หากแต่เป็นสัญลักษณ์แห่งภูมิปัญญาที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น โดยเฉพาะ “ซิ่น” หรือผ้าถุงพื้นเมืองที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละชุมชนและสกุลทอ ซิ่นทอมือเหล่านี้ไม่ใช่แค่เพียงผืนผ้า แต่คือประวัติศาสตร์ที่ถักทอด้วยเส้นใยแห่งศรัทธา วัฒนธรรม และความรักในงานฝีมือที่เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ ซิ่น : ศิลปะบนผืนผ้าที่บอกเล่าเรื่องราวท้องถิ่นซิ่นของชาวล้านนาแบ่งออกเป็นสามส่วนหลัก ได้แก่ หัวซิ่น ที่มักเป็นผ้าฝ้ายสีพื้นอย่างสีแดง น้ำตาล หรือขาว ซึ่งให้ความรู้สึกนุ่มสบาย ส่วนนี้เป็นจุดเชื่อมระหว่างผืนผ้ากับร่างกาย จึงเน้นความเรียบง่ายและสวมใส่สบาย ตัวซิ่น คือส่วนกลางของผ้าซิ่นที่มีลวดลายโดดเด่น นิยมลายตาขวางที่มีสีสันหลากหลาย โดยสีเหลืองถือเป็นสีที่พบได้บ่อยที่สุด ตีนซิ่น หรือชายผ้าด้านล่าง เป็นจุดแสดงความประณีต ลวดลายที่งดงามที่สุด เช่น “ซิ่นตีนจก” ที่ใช้เทคนิคการทอซับซ้อนด้วยเส้นไหม ไหมเงิน หรือไหมทอง ลวดลายบนซิ่นตีนจกมีความหลากหลายและวิจิตรบรรจง เช่น ลายโคม ที่เป็นลายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดขนาดใหญ่เรียงต่อกัน ล้อมรอบด้วยแถวลวดลายเล็ก ๆ หรือ ลายหางสะเปา ที่เป็นเส้นเล็ก ๆ ห้อยลงมาจากตีนซิ่น ซึ่งเปรียบเสมือนการประดับด้วยพู่ห้อยเล็ก ๆ เพิ่มความพลิ้วไหวเมื่อเคลื่อนไหว ผ้าซิ่นแต่ละผืนจึงมีเสน่ห์ที่ไม่ซ้ำกัน และสามารถบอกถึงเอกลักษณ์ของชุมชนผู้ทอได้อย่างชัดเจน การแต่งกายสะหว้ายแหล้งและมัดนม เรียบง่ายแต่ทรงเสน่ห์ท่อนบนของสตรีล้านนาในอดีตมีความงดงามเรียบง่าย “สะหว้ายแหล้ง” คือการห่มผ้าเฉวียงบ่าแบบคล้องไหล่เปิดเผยช่วงแขน ขณะที่ “มัดนม” […]

1 6 7 8 9