ส่องความงาม”ดอกโคม”ประดับถนนในเชียงใหม่

ดอกโคม หรือ เฟื่องฟ้า (Bougainvillea) เป็นพืชไม้เลื้อยชนิดหนึ่งที่มีลักษณะโดดเด่นทั้งในด้านรูปลักษณ์และสีสันของดอกไม้ ซึ่งทำให้เป็นที่นิยมในการใช้ประดับตกแต่งพื้นที่ต่าง ๆ เช่น สวนหรือระเบียงบ้าน ลำต้นและกิ่งของดอกโคมมีหนามแหลม เพื่อป้องกันตัวเองจากสัตว์ที่อาจทำลายแต่ด้วยลักษณะการเจริญเติบโตที่เป็นไม้เลื้อย จึงสามารถใช้เพิ่มความสวยงามในพื้นที่ที่ต้องการการปกคลุมหรือมีการยึดเกาะได้ดี ดอกโคมมีสีสันหลากหลาย ซึ่งเกิดจากสีของใบประดับที่ห่อหุ้มดอกจริงที่มักจะมีขนาดเล็กมาก โดยสีของใบประดับอาจมีตั้งแต่สีแดง ม่วง ชมพู ส้ม เหลืองหรือแม้กระทั่งสีขาว ซึ่งทำให้ดอกโคมกลายเป็นพืชที่สามารถปรับเข้ากับการตกแต่งในสไตล์ต่าง ๆ ได้ง่าย โดยดอกมักจะออกเป็นช่อที่มีจำนวนมาก ลักษณะของดอกโคมที่สำคัญคือ กลีบรวมจะเป็นหลอดแคบ ๆ คอดตรงกลาง ซึ่งจะติดอยู่บนใบประดับแต่ละใบโดยปลายหลอดแผ่ออกและภายในกลับเป็นสีครีมหรือสีเนื้อ เมื่อบานเต็มที่ดอกโคมจะมีลักษณะคล้ายกับกระเช้าหรือโคมไฟ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “ดอกโคม” นอกจากนี้ เฟื่องฟ้ายังมีลักษณะการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว จึงมักนำไปใช้ในการสร้างรั้วหรือแนวขอบของพื้นที่ต่าง ๆ รูปภาพและแหล่งข้อมูลหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ เชียงใหม่ https://www.finearts.go.th/chiangmaiarchives/view/39686-%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A1

“ย่านดาโอ๊ะ” ความงามและความเชื่อที่ผูกพันกับคนในท้องถิ่น

ย่านดาโอ๊ะ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ใบไม้สีทอง” เป็นพรรณไม้เถาเนื้อแข็งขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเด่นสะดุดตา ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกโดย ดร.ชวลิต นิยมธรรม บริเวณน้ำตกปาโจในอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส การค้นพบนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเปิดเผยถึงความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาความสำคัญของต้นไม้ชนิดนี้ที่แฝงไปด้วยความงดงามและความเชื่อทางวัฒนธรรม ใบของย่านดาโอ๊ะมีลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนใคร โดยใบจะมีสองชนิดที่สามารถสังเกตได้อย่างชัดเจน คือ ใบสีเขียวที่ทำหน้าที่ในการสังเคราะห์แสง และใบสีทองที่อยู่บริเวณปลายกิ่งในขณะที่ยังเป็นใบอ่อน ซึ่งในช่วงนี้ใบจะมีสีม่วงก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีทองแดงเมื่อใบเริ่มแก่ขึ้น และในที่สุดจะกลายเป็นสีเงินจนร่วงหล่นไป ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม ใบสีทองจะเปล่งประกายออกมาอย่างชัดเจน ทำให้ไม้นี้ได้รับการเรียกขานว่า “ใบไม้สีทอง” ตามสีสันที่สวยงามของใบในช่วงเวลานั้น นอกจากใบที่มีลักษณะสวยงามแล้ว ดอกของย่านดาโอ๊ะยังมีความโดดเด่นไม่แพ้กัน โดยดอกจะมีสีขาวและมีกลิ่นหอมคล้ายดอกเสี้ยว ดอกจะออกในช่วงเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ มักจะบานอยู่บริเวณปลายกิ่งของต้นไม้ ซึ่งเป็นการแสดงถึงความงามของธรรมชาติที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ทั้งในด้านสีสันและกลิ่นหอม ผลของย่านดาโอ๊ะก็มีลักษณะเป็นฝักแบนยาวคล้ายดาบ ซึ่งสามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่โล่งริมน้ำในป่าดิบชื้น โดยทั่วไปพบย่านดาโอ๊ะในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกบาโจ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลาในภาคใต้ของประเทศไทย สิ่งที่ทำให้ย่านดาโอ๊ะมีความหมายในเชิงลึกไปกว่าความสวยงามของมัน คือ ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับพืชชนิดนี้ คนส่วนใหญ่เชื่อว่าใบไม้สีทองนี้เป็นไม้มงคล และเชื่อกันว่าใบที่ร่วงหล่นจากต้นเมื่อนำมาใส่กรอบจะช่วยเสริมสิริมงคลและโชคลาภให้แก่ผู้ครอบครอง จึงไม่แปลกที่หลายบ้านจะเก็บใบไม้สีทองไว้เป็นของตกแต่งหรือสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรือง ย่านดาโอ๊ะเป็นพืชที่ต้องการการอนุรักษ์อย่างยิ่ง เนื่องจากพบได้ในพื้นที่เฉพาะที่มีสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมเท่านั้น การอนุรักษ์ต้นไม้ชนิดนี้จึงมีความสำคัญในการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศและเสริมสร้างความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ธรรมชาติ นอกจากนี้ การศึกษาต้นไม้ชนิดนี้ยังเป็นอีกหนึ่งทางในการต่อยอดความรู้ด้านการเกษตรและการอนุรักษ์ธรรมชาติในอนาคต รูปภาพและแหล่งข้อมูลหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ เชียงใหม่ https://www.finearts.go.th/chiangmaiarchives/view/39687

“ดอกคำปูจู้” พืชพันธุ์ที่เต็มไปด้วยความหมาย

ดอกคำปูจู้ เป็นไม้ล้มลุกที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ซึ่งพบได้ในหลายพื้นที่ของภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ ดอกคำปูจู้มีลักษณะเด่นที่ดอกสีเหลืองหรือส้มที่สวยงาม ซึ่งมักจะบานในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว ดอกจะออกเป็นช่อกระจุกเดี่ยวที่ปลายยอด มีลักษณะของริ้วประดับที่เชื่อมกันเป็นรูประฆัง ปลายจักเป็นซี่ฟัน ดอกวงนอกจะกลับดอกเป็นรูปรางน้ำ โคนเป็นหลอดเล็กและปลายแผ่เป็นรูปไข่กลับ ดอกวงในมักจะเป็นหลอดและปลายจักเป็น 5 ซี่ บางพันธุ์กลีบดอกทั้งหมดอาจจะมีลักษณะเป็นรูปรางน้ำ ความงามของดอกคำปูจู้ไม่ได้เพียงแต่สวยงามภายนอก แต่ยังแฝงไปด้วยความหมายทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง ชาวบ้านในพื้นที่ภาคเหนือมักจะใช้ดอกคำปูจู้ในพิธีกรรมต่างๆ เช่น การบูชาพระ การทำบุญ หรือแม้แต่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ดอกคำปูจู้จึงเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี ความเจริญรุ่งเรือง และการขอพรให้ชีวิตมีความสุข ความเจริญในปีใหม่ไทย ดอกคำปูจู้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งดอกคำปูจู้มักจะบานในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาชมความงามของดอกไม้ชนิดนี้ในช่วงเทศกาลต่างๆ การส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมและธรรมชาติจึงเป็นสิ่งที่สำคัญในการอนุรักษ์และส่งต่อมรดกทางวัฒนธรรมให้กับคนรุ่นหลัง ดอกคำปูจู้จึงไม่เพียงแค่เป็นดอกไม้ที่สวยงาม แต่ยังมีความสำคัญในหลายด้านทั้งทางวัฒนธรรม การแพทย์สมุนไพร และการส่งเสริมการท่องเที่ยวในท้องถิ่น ซึ่งทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับดอกคำปูจู้ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในชุมชนและส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างยั่งยืน รูปภาพและแหล่งข้อมูล หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ เชียงใหม่ https://www.finearts.go.th/chiangmaiarchives/view/39007-%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B8%88%E0%B8%B9%E0%B9%89

ย้อนวันวาน ภาพบรรยากาศประเพณีสงกรานต์จังหวัดเชียงใหม่

ประเพณีสงกรานต์ในจังหวัดเชียงใหม่เป็นหนึ่งในเทศกาลที่สำคัญและเต็มไปด้วยความหมายทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งในทุกๆ ปี ชาวเชียงใหม่ร่วมกันสืบสานประเพณีอันดีงามที่มีมาช้านาน โดยเฉพาะกิจกรรมที่สอดแทรกคุณค่าทางศาสนาและความสนุกสนานที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ในช่วงสงกรานต์ของเชียงใหม่พิธีกรรมต่างๆจะเริ่มต้นจากการ รดน้ำดำหัว ซึ่งเป็นพิธีการที่ลูกหลานจะไปขอพรจากผู้สูงอายุ เพื่อแสดงความเคารพและขอพรให้มีความสุขและเจริญรุ่งเรืองในปีใหม่ไทย นอกจากนี้ยังมีการทำ ขบวนแห่สรงน้ำพระ ที่ผู้คนจากทุกสารทิศจะร่วมกันในขบวนแห่ที่สวยงาม โดยมีการตกแต่งขบวนด้วยธงตุงและดอกไม้เพื่อให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และเคารพในพระพุทธศาสนา การ เล่นน้ำสงกรานต์ เป็นกิจกรรมที่ผู้คนรอคอยมากที่สุด โดยเฉพาะในเมืองเชียงใหม่ที่มีการสาดน้ำกันอย่างสนุกสนานทั้งในถนนและตามจุดต่างๆ ทำให้เมืองเชียงใหม่เต็มไปด้วยความคึกคักและยิ้มแย้มแจ่มใสของทุกคน ทุกเพศทุกวัยต่างมาร่วมเล่นน้ำและสร้างความสุขให้กัน ในส่วนของการ ขนทรายเข้าวัดและก่อกองทราย ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่คนเชียงใหม่ให้ความสำคัญ การขนทรายเข้าวัดเพื่อทำการสะอาดและก่อกองทรายที่วัดเป็นการแสดงความเคารพต่อพระพุทธศาสนาและเป็นการทำบุญในช่วงสงกรานต์ พร้อมกับการ ปักตุง ซึ่งเป็นการตกแต่งด้วยธงผ้าสีสันสดใสที่ประดับทั่วเมืองและวัดต่างๆ สื่อถึงความเจริญรุ่งเรืองและการเฉลิมฉลองในเทศกาลนี้ การ ถวายไม้ค้ำต้นโพธิ์ เป็นอีกหนึ่งพิธีที่แสดงถึงความศรัทธาและการเคารพในพระพุทธศาสนา และยังช่วยให้ผู้ร่วมกิจกรรมได้รู้สึกถึงความเป็นมงคลในช่วงปีใหม่ไทย รูปภาพและแหล่งข้อมูล หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้า เชียงใหม https://www.finearts.go.th/chiangmaiarchives/view/34616

ย้อยรอยความงดงามวัดจองคำและวัดจองกลาง แม่ฮ่องสอน

วัดจองคำ วัดจองกลาง วัดฝาแฝดที่สร้างขึ้นเป็นวัดแห่งแรกของจังหวัดแม่อ่องสอน ตั้งอยู่บริเวณหนองจองคำ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน โดยมีการประกาศรวมวัดทั้งสองเข้าด้วยกัน เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2517 ตามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการที่ดูแลกรมการศาสนาในช่วงเวลานั้น วัดจองคำสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2370 โดยพญาสิงหนาทราชาและเจ้านางเมี้ยะได้รับพระราชทานให้เป็นพระรามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2527 มีรูปแบบสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมไทใหญ่ ภายในวัดมีองค์พระเจดีย์สร้างเมื่อ ปี พ.ศ. 2458 ความสูง 32 ศอก ฐานสี่เหลี่ยมมีมุข 4 ด้าน ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานพระพุทธรูป และมีสิงห์ประดับอยู่ด้านละหนึ่งตัว และมีวิหารหลวงพ่อโต รูปแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างไทใหญ่กับตะวันตก ภายในประดิษฐานหลวงพ่อโต สร้างโดยช่างชาวพม่า ซึ่งจำลองแบบพระศรีศากยมุนี (หลวงพ่อโต) จากวัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพมหานคร ตัววิหารก่ออิฐฉาบปูน ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นรูปทรงโค้ง หลังคามุงด้วยสังกะสี เชิงชายมีฉลุลูกไม้แบบขนมปังขิงที่นิยมสร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากตะวันตก วัดจองกลางเดิมเป็นศาลาการเปรียญที่ชาวบ้านสร้างถวายให้แก่พระภิกษุชาวพม่าที่มาร่วมงานศพเจ้าอาวาสวัดจองใหม่ ด้วยความศรัทธาชาวบ้านจึงนิมนต์ให้ท่านมาอยู่ประจำศาลาต่อ จนเกิดเป็นวัดจองกลางขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2410 โดยมีพิพิธภัณฑสถานวัดจองกลาง ซึ่งจัดแสดงวัตถุโบราณจำนวนมาก […]

เสียงระฆังและคำอธิษฐาน “วัดพระธาตุดอยกองมู”

วัดพระธาตุดอยกองมู เดิมชื่อ “วัดปลายดอย” ตั้งอยู่บนดอยกองมูทางทิศตะวันตกของอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน เป็นวัดที่มีความสำคัญทั้งในด้านศิลปะและความเชื่อของชาวแม่ฮ่องสอนและภูมิภาคใกล้เคียง มีตำนานที่เชื่อว่า ภูเขาลูกนี้มีลักษณะคล้ายกับองค์พระเจดีย์ จึงได้ตั้งชื่อว่า “พระธาตุดอยกองมู” และบนยอดดอยนั้นก็ได้ประดิษฐานพระธาตุเจดีย์ศิลปะไทใหญ่ พม่า จำนวนสององค์ พระเจดีย์องค์ใหญ่ของวัดพระธาตุดอยกองมู สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2403 โดยจองต่องสู่ ซึ่งภายในบรรจุพระธาตุของพระโมคคัลลานะเถระที่นำมาจากประเทศพม่า ส่วนพระเจดีย์องค์เล็กนั้นสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2417 โดยพระยาสิงหนาทราชา เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนองค์แรก ภายในบรรจุพระธาตุของพระสารีบุตรเถระ ซึ่งนำมาจากเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า ในปี พ.ศ. 2524 กรมศิลปากรได้ประกาศให้วัดพระธาตุดอยกองมูเป็นโบราณสถานและกำหนดขอบเขตทางการในราชกิจจานุเษก เล่มที่ 98 ตอนที่ 177 การขึ้นทะเบียนนี้เป็นการยืนยันความสำคัญของวัดในด้านศาสนาและศิลปกรรมของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ภายในวัดยังมีศาสนวัตถุและศาสนสถานสำคัญที่โดดเด่น เช่น องค์พระพุทธรูป พระเจดีย์ และภาพจิตรกรรมฝาผนังที่บอกเล่าพระพุทธประวัติ ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความสวยงามในด้านสถาปัตยกรรมและศิลปะที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะพม่า ทางเข้าวัดที่อยู่บนยอดดอยมีสิงห์คู่ตั้งอยู่และยังมีระฆังเก่าแก่ที่มีความเชื่อว่า หากผู้ใดได้ตีระฆังนี้ จะทำให้พวกเขาได้กลับมาเยือนแม่ฮ่องสอนอีกครั้ง รูปภาพและแหล่งข้อมูล หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ เชียงใหม่ https://www.finearts.go.th/chiangmaiarchives/view/43540

“วัดพระนอน” ปูชนียสถานและมรดกทางวัฒนธรรมแม่ฮ่องสอน

วัดพระนอนตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของตัวเมืองแม่ฮ่องสอน บริเวณเชิงเขาทางขึ้นวัดพระธาตุดอยกองมู เป็นวัดที่มีความสำคัญในด้านประวัติศาสตร์และศิลปะ โดยเฉพาะการประดิษฐานองค์พระนอนขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งมีความยาวถึง 11.99 เมตรและประดิษฐานอยู่ภายในวิหารที่ได้รับการออกแบบในรูปแบบศิลปะไทใหญ่ การสร้างวัดพระนอนเริ่มขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2418 โดยพญาสิงหนาทราชา (ชานกะเล) เจ้าเมืององค์แรกของแม่ฮ่องสอน และในปี พ.ศ. 2469 วัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ซึ่งเป็นการรับรองสถานะทางศาสนาของวัดให้เป็นที่ทราบโดยทั่วไป นอกจากพระนอนแล้ว บริเวณเชิงเขายังมีรูปปั้นสิงห์คู่ ซึ่งเป็นประติมากรรมที่สะท้อนถึงศิลปะไทยใหญ่ ตัวสิงห์ก่ออิฐถือปูนสูงประมาณ 3 เมตร ในท่านั่งหันหน้าไปทางตัวเมืองแม่ฮ่องสอน นอกจากนี้ยังมีสถูปที่บรรจุอัฐิของเจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนสององค์ และบันไดนาคที่ทอดยาวขึ้นสู่วัดพระธาตุดอยกองมู วัดพระนอนถือเป็นหนึ่งในวัดที่สำคัญที่สุดของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เนื่องจากได้มีการบูรณะและปฏิสังขรณ์อย่างต่อเนื่อง เช่น การบูรณะสิงห์คู่ องค์พระนอน องค์เจดีย์ และวิหารไม้ เพื่อให้มีความสมบูรณ์และยั่งยืนไปในอนาคต นอกจากนี้ วัดยังมีพิพิธภัณฑ์โบราณที่เก็บรวบรวมโบราณวัตถุและพระพุทธรูปเก่าแก่รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ที่ใช้ในวัด เพื่อให้ประชาชนได้เข้าชมและร่วมทำนุบำรุงให้สิ่งเหล่านี้คงอยู่ต่อไปอย่างยาวนาน รูปภาพและแหล่งข้อมูล หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ เชียงใหม่ https://www.finearts.go.th/chiangmaiarchives/view/42992

วันแห่งความรัก “เสริมรักให้สมหวัง” ขอพรจากพระมหาเทวีจิรประภา

ในวันแห่งความรักอย่าง “วันวาเลนไทน์” หลายคนมักมองหาวิธีที่จะเสริมสร้างความรักในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความสัมพันธ์หรือความสุขส่วนตัว หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมในภาคเหนือของประเทศไทย คือ การไปกราบไหว้ขอพรจากพระมหาเทวีจิรประภา ณ วัดโลกโมฬี จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนในเรื่องของ “ความรัก” พระมหาเทวีจิรประภา เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ล้านนาโดยเป็นพระมเหสีของพระเมืองเกษเกล้าและพระมารดาของท้าวซายคำ ผู้ที่มีบทบาทในการรักษาความสงบภายในบ้านเมืองในช่วงที่บ้านเมืองเกิดความไม่สงบและมีความสามารถในการปกครอง จึงได้รับการอัญเชิญขึ้นเป็นกษัตริย์ผู้หญิงองค์แรกของราชวงศ์มังราย แม้พระองค์จะปกครองได้ไม่นาน แต่พระมหาเทวีจิรประภาก็มีส่วนสำคัญในการเจรจากับต่างชาติ เช่น การเจรจาบรรณาการกับพระไชยราชาธิราชจากกรุงศรีอยุธยา ปัจจุบันวัดโลกโมฬีที่เป็นสถานที่บรรจุอัฐิของพระมหาเทวีจิรประภาและพระเมืองเกษเกล้า ได้กลายเป็นสถานที่ที่ผู้คนมักมาขอพรจากพระนางในเรื่องของความรัก ซึ่งมีความเชื่อว่าหากใครที่ขอพรจากพระมหาเทวีจิรประภาจะได้รับความสมหวังในด้านความรักและความสัมพันธ์ ในวันวาเลนไทน์การขอพรจากพระนางจิรประภาถือเป็นหนึ่งในวิธีการเสริมสร้างความรักที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะในเรื่องของการขอพรให้ความรักและความสัมพันธ์กับคนรักหรือคนที่เราหมายปองประสบผลสำเร็จ สามารถใช้คำไหว้บูชาได้ว่า “มหาเทวี จิรประภา วันทามิ สิระสา สะทาโสตฺถี ภะวันตุเมฯ ข้าพเจ้าขอไหว้พระนางจิรประภาเทวี ด้วยความเคารพนอบน้อมยิ่ง ขอความสุขสวัสดี จงมีแก่ข้าพเจ้าในกาล เวลาทุกเมื่อเทอญ” สำหรับข้อปฏิบัติในการอธิษฐานและการถวายสิ่งต่างๆ ผู้ที่ต้องการขอพรในเรื่องความรักจะทำการถวาย “ไข่ไก่ 9 ฟอง” ในตอนที่เริ่มอธิษฐาน และหากสมหวังจะต้องทำการแก้บนด้วย “ไข่ไก่ 108 ฟอง” พร้อมด้วย “ผลไม้ 9 อย่าง” และปัจจัยตามศรัทธา ดังนั้นหากใครกำลังมองหาวิธีที่จะแสดงความรักและขอพรเพื่อให้ความรักในชีวิตสมหวัง วันวาเลนไทน์นี้การไปกราบไหว้พระมหาเทวีจิรประภาที่วัดโลกโมฬีอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่จะช่วยเสริมสร้างความรักให้แข็งแรงและเติมเต็มความสุขในชีวิต แหล่งข้อมูล […]

“กู่เจ้านายฝ่ายเหนือ” สถานที่บรรจุพระอัฐิของเจ้านายนครเชียงใหม่

กู่เจ้านายฝ่ายเหนือที่วัดสวนดอกเป็นอนุสรณ์สถานที่สำคัญในเชียงใหม่ ซึ่งบรรจุพระอัฐิของเจ้าหลวงและเจ้านายฝ่ายเหนือหลายพระองค์ ภายในกู่แห่งนี้มีการรวบรวมพระอัฐิของเจ้าเจ็ดตนที่เคยปกครองเมืองเชียงใหม่และพระญาติวงศ์ในราชวงศ์ต่าง ๆ ตั้งอยู่ในบริเวณวัดสวนดอก ซึ่งได้รับการสร้างขึ้นตามพระดำริของเจ้าดารารัศมี พระราชชายา เมื่อปี พ.ศ. 2451 วัดสวนดอกได้รับการเลือกเป็นสถานที่จัดตั้งกู่เนื่องจากมีพื้นที่กว้างขวางและสะดวกต่อการจัดวางพระอัฐิพระมหากษัตริย์และเจ้านายฝ่ายเหนือที่มีพระอัฐิอยู่กระจัดกระจายในข่วงเมรุในขณะนั้น เมื่อกู่ได้รับการสร้างเสร็จสมบูรณ์ พระอัฐิและอัฐิของเจ้านายก็ได้รับการอัญเชิญมาบรรจุในกู่พร้อมกับการจารึกการย้ายพระอัฐิที่ประดิษฐานอยู่หน้ากู่ เพื่อเป็นการระลึกถึงบุญคุณและความทรงจำของเจ้าหลวงและเจ้านายเหล่านั้น ภายในกู่มีพระอัฐิของเจ้าหลวงสำคัญหลายพระองค์ เช่น พระเจ้ากาวิละ เจ้าหลวงธรรมลังกา เจ้าหลวงคำฟั่น เจ้าหลวงพุทธวงษ์และพระเจ้ามโหตระประเทศ รวมถึงแม่เจ้าอุสาอัยกีและพระญาติวงศ์อื่นๆ ที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของเชียงใหม่ นอกจากจะเป็นสถานที่บรรจุพระอัฐิแล้ว กู่เจ้านายฝ่ายเหนือยังเป็นสถานที่ที่ถูกจัดงานบุญถวายราชกุศลและพิธีสักการะดวงพระวิญญาณของเจ้าหลวงเชียงใหม่และเจ้านายฝ่ายเหนืออย่างสม่ำเสมอ ทายาทเจ้านายฝ่ายเหนือได้ร่วมกันจัดกิจกรรมดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ในปี พ.ศ. 2539 ซึ่งเป็นปีครบรอบ 700 ปีของนครเชียงใหม่ มีการจัดพิธีสักการะกู่เจ้าหลวงเชียงใหม่อย่างยิ่งใหญ่ โดยหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกับคณะเจ้านายฝ่ายเหนือได้เชิญชวนประชาชนมาร่วมพิธีสักการะเพื่อระลึกถึงและแสดงความเคารพต่อเจ้าหลวงและเจ้านายที่ได้สร้างคุณประโยชน์ให้แก่เมืองเชียงใหม่ รูปภาพและแหล่งข้อมูล หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่ https://www.finearts.go.th/chiangmaiarchives/view/30193-%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9D%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88

“สิงห์คู่” จากตำนานพม่าสู่ความเชื่อในล้านนา

สิงห์คู่หน้าวัดพระธาตุหริภุญชัยเป็นรูปปั้นสิงห์ขนาดใหญ่ที่มีลักษณะโดดเด่นและมีความสำคัญทั้งในแง่ของศิลปะและความเชื่อในประวัติศาสตร์ล้านนา สิงห์ตัวนี้ก่อด้วยอิฐและฉาบปูน ทรงเครื่องแบบสมพระเกียรติ มันยืนอยู่ในท่าที่อ้าปากกระดกลิ้น มีเครา และหางที่ตั้งม้วนเป็นขดอยู่กลางหลัง ซึ่งถูกระบายด้วยสีแดงก่ำและตกแต่งด้วยลายปูนปั้นสีขาวอย่างละเอียด นอกจากนี้ยังมีการสร้างศาลามีหลังคาคลุมเพื่อปกป้องสิงห์จากการชำรุด รวมถึงมีลวดถักที่พันรอบตัวสิงห์เพื่อไม่ให้เสียหายตามกาลเวลา สิงห์ตัวนี้ถูกเรียกในท้องถิ่นว่า “สิงห์ไถ่บาป” ซึ่งคำนี้มีความหมายลึกซึ้งตามความเชื่อของชาวล้านนาและพม่า โดยเชื่อกันว่า สิงห์ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ศรีศากยมุนีในอินเดียโบราณ ซึ่งเป็นราชวงศ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิงห์จึงถูกนำมาใช้ประดับตกแต่งงานพุทธศิลป์ต่างๆ และเป็นสัญลักษณ์ของผู้เฝ้าประตูวัดหรือทวารบาลที่มีหน้าที่ปกป้องรักษาศาสนสถาน ตำนานที่เกี่ยวข้องกับสิงห์ไถ่บาปนั้นมีที่มาจากเรื่องราวของชาวพม่า ซึ่งมีอิทธิพลต่อความเชื่อของชาวล้านนาในช่วงเวลานานกว่า 200 ปี ตามตำนานนี้ พระธิดาของพระราชาองค์หนึ่งหายตัวไปในป่าและถูกนางสิงห์เลี้ยงดูเป็นลูกอยู่หลายปีจนกระทั่งพระราชาตามหาพบและพรากพระธิดากลับไป นางสิงห์ซึ่งรักพระธิดาดั่งลูกก็เกิดความเสียใจจนกลั้นใจตายไม่สามารถข้ามแม่น้ำติดตามพระธิดาไปได้ หลังจากเหตุการณ์นี้ พระราชาจึงสร้างอนุสาวรีย์นางสิงห์เพื่อขอขมาและเป็นที่ระลึก ถึงการสูญเสียครั้งนี้ จึงทำให้คำว่า “สิงห์ไถ่บาป” กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่มักถูกนำไปใช้ในการตกแต่งหน้าวัด ตามตำนานนี้ สิงห์ไถ่บาปควรจะเป็นเพศเมียที่มีท่าทางโก่งคอตะโกนร้องเรียกหาพระธิดา แต่สิงห์คู่ที่ตั้งอยู่หน้าวัดพระธาตุหริภุญชัยเป็นสิงห์เพศผู้ ซึ่งทำให้สันนิษฐานได้ว่า ตำนานเกี่ยวกับสิงห์ไถ่บาปน่าจะถูกผูกขึ้นภายหลัง โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงการสร้างสิงห์ไถ่บาปตามวัดต่างๆ โดยชาวยองที่อพยพมาตั้งถิ่นในลำพูน ก่อนที่สะพาน “ขัวมุง” หรือสะพานมีหลังคาคลุมข้ามแม่น้ำกวงจะถูกสร้างขึ้นบริเวณหน้าวัดพระธาตุหริภุญชัยเคยมีสะพานชื่อว่า “ขัวท่าสิงห์” ซึ่งสะพานนี้ได้ชื่อนี้มาจากรูปปั้นสิงห์ไถ่บาปที่ตั้งอยู่หน้าวัดเป็นการยืนยันถึงความสำคัญและบทบาทของสิงห์ที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชาวล้านนาและพม่า รูปภาพและแหล่งข้อมูล หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่ https://www.finearts.go.th/chiangmaiarchives/view/30191-%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88

“น้ำต้น” เครื่องใช้ดั้งเดิมที่เชื่อมโยงธรรมชาติและวัฒนธรรม

น้ำต้น หรือที่รู้จักกันในชื่อ คนโฑ เป็นเครื่องใช้ดั้งเดิมที่มีความสำคัญในวัฒนธรรมของชาวไทใหญ่หรือเงี้ยว ซึ่งอพยพมาตั้งรกรากในบริเวณเหมืองกุงในช่วงสมัยพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ ผู้ครองนครเชียงใหม่ ลำดับที่ ๖ โดยเดิมทีน้ำต้นเงี้ยวหรือคนโฑมีลักษณะคล้ายผลน้ำเต้า รูปร่างคอยาวที่ออกแบบมาเพื่อใส่น้ำดื่มให้เย็นสดชื่น เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและการทำการเกษตร น้ำต้นมีการแบ่งออกเป็น 3 ขนาดหลัก ๆ ซึ่งแต่ละขนาดก็มีการใช้งานที่แตกต่างกันไป ขนาดแรกคือ น้ำต้นหลวง ซึ่งมีขนาดใหญ่และใช้สำหรับใส่น้ำไปในไร่นา โดยน้ำต้นหลวงนี้มักมีหู 2 หรือ 4 หูเพื่อใช้ร้อยเชือกสำหรับแบกน้ำต้นบนหลัง เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการขนส่งน้ำในพื้นที่การเกษตร ขนาดที่สองคือ น้ำต้นกลาง ที่มีขนาดพอเหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น การใส่น้ำในวงอาหารหรือใช้ต้อนรับแขก ซึ่งมักถูกใช้งานในบ้านเรือนสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ขนาดสุดท้ายคือ น้ำต้นหน้อย (เล็ก) ที่มีขนาดเล็กที่สุด เหมาะสำหรับการใส่น้ำเพื่อตั้งไว้บนหิ้งบูชาพระ เป็นเครื่องใช้ที่ไม่เพียงแต่สะดวกในการใช้งาน แต่ยังเป็นเครื่องประดับศักดิ์สิทธิ์ในบ้านของชาวล้านนา ในปัจจุบัน การผลิตน้ำต้นยังคงดำรงอยู่และได้รับการสืบสานจากรุ่นสู่รุ่น โดยเฉพาะใน หมู่บ้านหัตถกรรมทำเครื่องปั้นดินเผา อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งยังคงรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่นในการทำเครื่องปั้นดินเผาให้อยู่รอด และน้ำต้นก็กลายเป็นหนึ่งในสินค้าหัตถกรรมที่มีเอกลักษณ์ของชาวเชียงใหม่และชาวล้านนา น้ำต้นจึงไม่เพียงแต่เป็นเครื่องใช้ที่สะดวกในการทำงานและชีวิตประจำวัน แต่ยังสะท้อนถึงวิถีชีวิตและความผูกพันของชาวล้านนากับธรรมชาติ รวมถึงการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและมีคุณค่าทางวัฒนธรรมที่ส่งต่อจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน รูปภาพและแหล่งหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ เชียงใหม่ https://www.finearts.go.th/chiangmaiarchives/view/30464-%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99

“จากผะเลิดถึงผาลาด” ย้อนวันวานวัดผาลาด

วัดผาลาด เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเชียงใหม่ที่น่าสนใจและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก วัดนี้มีการสร้างขึ้นบนเส้นทางที่มีประวัติศาสตร์ร่วมกับพระธาตุดอยสุเทพ ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่สำคัญของเชียงใหม่ โดยคำว่า “ผาลาด” มาจากคำว่า “ผะเลิด” ที่สะท้อนถึงความยากลำบากของการเดินทางขึ้นเขาในอดีต ซึ่งทั้งคนและช้างจะลื่นล้มเมื่อเดินขึ้นมา จากตำนานและพงศาวดารที่เล่าถึงการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากเมืองสุโขทัยและนำไปประดิษฐานที่ดอยสุเทพ วัดผาลาดจึงมีความสำคัญในฐานะที่เป็นหนึ่งในจุดที่ช้างบรรทุกพระบรมสารีริกธาตุหยุดพักในระหว่างทาง นี่จึงทำให้วัดผาลาดมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงใหม่และศาสนาพุทธในภาคเหนือของประเทศไทย สำหรับอาคารเสนาสนะที่สำคัญในวัดผาลาดนั้น ได้แก่ เจดีย์ที่มีศิลปะสถาปัตยกรรมแบบพม่า ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยครูบาศรีวิชัย นอกจากนี้ยังมีวิหารและฐานโบราณสถานที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเจดีย์ ซึ่งถือว่าเป็นโบราณสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในวัดนี้ ในส่วนของปูชนียวัตถุที่สำคัญภายในวัด คือ พระพุทธรูปที่มีสไตล์การสร้างแบบพม่า รวมถึงบ่อน้ำที่มีการสร้างทับซ้อนกันหลายยุคหลายสมัย ซึ่งบ่อน้ำเหล่านี้เป็นสถานที่ที่ให้ความรู้สึกสงบและผ่อนคลายสำหรับผู้ที่มาสักการะ การเดินทางไปวัดผาลาดนั้นเป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะการเดินตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติจากสถานีวิทยุโทรทัศน์ช่อง 7 ซึ่งระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตรและสามารถเดินไปถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพด้วยเส้นทางนี้ นอกจากนี้เส้นทางดังกล่าวยังเป็นทางโบราณที่ใช้ในสมัยพระเจ้ากือนา ซึ่งทำให้เส้นทางนี้เต็มไปด้วยความงดงามของธรรมชาติและโบราณสถานสำคัญตลอดเส้นทาง รูปภาพและแหล่งข้อมูล หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ เชียงใหม่ https://www.finearts.go.th/chiangmaiarchives/view/50500-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94

1 2 3 5