ดันท่องเที่ยว สู้ศึกเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวในยุคเงินเฟ้อ

ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาอย่าง รัสเซีย ยูเครน ส่งผลกระทบในรูปแบบแรงกระเพื่อม กับราคาพลังงานโลก นี่ยังไม่นับรวมประเด็น อเมริกา จีน และ ไต้หวัน ทั้งนี้ก่อนที่เราจะมองไปในอนาคตเรามาดูช่วงเวลาที่ผ่านมากันก่อนว่าเป็นอย่างไร  

ที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (Economic Intelligence Center : EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มีการคาดการณ์และมีการปรับตัวเลขใหม่ GDP ในช่วงปี 2564 ปี 2565 คาดการณ์ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2566 คาดการณ์ ณ เดือนมิถุนายน  ต่อมาคือคาดการณ์ ณ เดือนกันยายนที่ล่าสุดมีการปรับเปลี่ยน GDP โตขึ้นประมาณ 1.6% 

ในเดือนมิถุนายน คาดการณ์ GDP ไว้ที่ ประมาณ 2.9 % แต่ภายหลังการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน มีการปรับใหม่ อีไอซี (EIC) คาดว่าน่าจะเห็นตัวเลข GDP ปีนี้ เป็น 3% ส่วนปีหน้าก็ขยับเพิ่มเป็น 3.7 % 

ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนมีการขยับตัวตสามที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ ส่วนการบริโภคภาครัฐมีการติดลบที่ลดลง จากการลงทุนของภาคเอกชนแต่ยังต่ำกว่ารอบที่ผ่านมาที่มีการคาดการณ์ว่าน่าจะมีการขยายตัวสูงประมาณ 2.7 % แต่การลงทุนภาครัฐต่ำกว่ารอบที่แล้ว อยู่ที่ 2.1%

ในส่วนของมูลค่าการส่งออกและนำเข้าปรับตัวดีขึ้นตามการคาดการณ์ครั้งนี้ แต่ปีหน้าย่อลงมา ส่วนการนำเข้าก็ขยับดีขึ้น 

ประเด็นสำคัญที่จะมาวิเคราะห์กันวันนี้ คือ การท่องเที่ยว เพราะส่งผลอย่างมากต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของหัวเมืองใหญ่ อย่าง “เชียงใหม่” ปี 2564 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเมืองไทย 400,000 คน เป็นตัวเลขกลมๆ ณ เดือนมิถุนายน คือ 0.4 

ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือนเรามองว่านักท่องเที่ยวที่เข้าบ้านเราน่าจะเห็นสักประมาณ7,400,000  คน แต่ ณ เดือนกันยายน ต้องมีการปรับตัวเลขใหม่ เพราะว่านักท่องเที่ยว นิยมมาเที่ยวไทยมากขึ้นหลังจากมีการผ่อนคลายมาตรการการเข้าประเทศ มีการปรับตัวเลขไปที่ระดับ 10.3 ล้านคน มากกว่าการคาดการณ์ของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ประมาณ 10 ล้านคน และคาดการณ์ไว้ว่า ในปี 2566 นักท่องเที่ยวก็จะขยับไปเป็น 28.3 ล้านคน

ทางด้านเงินเฟ้อ ก็ถือว่าเป็นประเด็นสำคัญ เงินเฟ้อมีการปรับตัวค่อนข้างสูง ในช่วงเดือน มิถุนายนมีการคาดการณ์ไว้ที่ประมาณ 5.9 % แต่ล่าสุดก็ขยับมาเป็น 6.1 % ก่อนที่จะปรับลดลงในปีหน้า ที่ 3.2  % 

ราคาน้ำมันดิบ ราคาพลังงาน ทำให้ทั่วโลกปั่นป่วน ปีที่แล้ว เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 70 เหรียญ ต่อ บาเรล มิถุนายน คาดการณ์ว่าอยู่ที่ 110 เหรียญ แต่ว่าล่าสุด กันยายน ขยับลงมาที่ประมาณ 102.4 ดอลลาร์ ต่อ บาเรล ส่วนปีหน้า อีไอซี (EIC) มองว่าจะขยับลงมาต่ำกว่า 100 เหรียญ ต่อ บาเรล ไปอยู่ที่ 89.9 ดอลลาร์ ต่อ บาเรล

เศรษฐกิจในปีที่แล้วคาดการณ์ปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปี 2566 การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย อีไอซี (EIC)  มองว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับไปสู่จีดีพี ไตรมาสสี่ของปี 2019 ได้ในช่วง ไตรมาสสองของปี 2566 สิ่งที่สำคัญ  คือ ภาพการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้น แต่ยังมีความเปราะบางอยู่

ดังนั้นโดยภาพรวมแล้วมองว่าลักษณะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เป็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ กำลังซื้อยังไม่ได้ฟื้นตัวหรือฟื้นตัวต่ำ แต่ถ้ามองข้ามไปถึงปี 2567  เศรษฐกิจไทยจะปรับเข้าสู่ลักษณะของการเติบโตแบบมีศักยภาพได้มากกว่านี้

การฟื้นตัวเศรษฐกิจที่ได้แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยว ในไตรมาสสอง ไตรมาสสาม ไตรมาสสี่ ของปี 2565  ตัวเลขท่องเที่ยวขยับเพิ่มขึ้น ไตรมาสสาม 3.6 ล้านคน ไตรมาสสี่ ที่ 4.6 ล้านคน แล้วก็ ปีหน้า ไตรมาสหนึ่ง ขยับเป็น 5.1 ล้านคน ไตรมาสสองเป็น 6.3 ล้านคนไล่เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จนปลายปีหน้า คาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวจะขยับขึ้นไประดับประมาณการณ์ที่ 9.1 ล้านคน  ตัวเลขจะค่อยๆดีขึ้น 

แต่ถ้าเทียบกับช่วงปี 2019 ก่อนเกิดโควิด-19 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเกือบ 40 ล้านคน ต่อมาในปี 2020 ลดลงมาเหลือ 6.7 ล้านคนและลดลงมาเหลือแค่ 400,000 คน แล้ว ทำให้ปีนี้คาดการณ์น่าจะอยู่ที่ระดับที่ 28.3 ล้านคน แม้ว่าจะดีขึ้น แต่ยังห่างไกลกับช่วงก่อนเกิดโควิด  

ในภาคการท่องเที่ยว กลุ่มคนที่ทำงานในภาคการท่องเที่ยวกังวลไม่น้อยเกี่ยวกับโอกาสที่นักท่องเที่ยว จะกลับไปเทียบเท่ากับก่อนเกิดโควิด ประมาณเกือบ 40 ล้านคนได้เมื่อไรจากข้อมูลการประเมินบอกว่าน่าจะเห็นได้ในปี 2567  

ส่วนรายได้ของประชาชนใน ภาคการท่องเที่ยว กลุ่มผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่าผู้บริโภคเกือบสองในสาม ยังมีรายได้ไม่เทียบเท่ากับก่อนเกิดโควิด-19 รายได้ถือว่าน้อยมาก มีแค่ 34 %  นั้นแสดงว่ารายได้ในภาคการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

สัดส่วนรายได้ไม่เท่ากับก่อนโควิด-19 โดยผู้มีรายได้น้อยในทุกสาขาธุรกิจ กระจุกตัวอยู่ในภาค การท่องเที่ยว บริการ ค้าขาย สอดคล้อง ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวก็จริงแต่ฟื้นตัวช้ากว่าภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ สัดส่วนของกลุ่มคนที่อยู่ในภาคการท่องเที่ยว มีรายได้ เท่ากับก่อนโควิด-19 หรือมากกว่าเพียงแค่ 20%  อีก 80% นี่ยังไม่เท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19  

นอกจากการท่องเที่ยว สัดส่วนของคนที่มีรายได้ไม่เท่ากับช่วงก่อนโควิด-19  กลุ่มคนที่มีรายได้ค่อนข้างที่จะน้อย ไม่เกิน 15,000 บาท ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เพราะว่าในคนกลุ่มนี้มีเพียงแค่ 15% ที่รายได้กลับคืนมาเท่าเดิม และมีถึง 85% ที่รายได้ยังไม่เท่าเดิม กลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด คือ กลุ่มคนที่มีรายได้ตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป  

ค่าเงินบาท ที่มีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา มีโอกาสที่จะพลิกขึ้นมาแข็งค่าได้ ในปลายปีนี้  ณ สิ้นปี 2565 อีไอซี (EIC) มองว่าค่าเงินบาท น่าจะอยู่สักประมาณ 35- 36 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐพอถึงสิ้นปีหน้า 2566 เราน่าจะเห็นค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นนะคะหมาอยู่สักประมาณ 33.50 บาทจนถึง 34.50 บาท ต่อดอลล่าร์สหรัฐ

เงินบาทที่ผันผวนในช่วงเวลาที่ผ่านมา นั้น อีไอซี (EIC) มองว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องชัดเจน จากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตเร็วกว่าที่ประมาณการไว้ ดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเกินดุลอีกครั้งในช่วงปลายปีนี้ หลังจากที่ราคาพลังงานปรับตัวลดลง รายได้นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น เงินทุนจากต่างประเทศก็จะเข้ามาและสุดท้ายเงินเฟ้อไทยจะลดลงเร็วกว่าสหรัฐ 

ในบทวิเคราะห์ อีไอซี (EIC) มองว่าเงินเฟ้อของไทยจะลงเร็วกว่าฝั่งของสหรัฐ เพราะบริบทไม่เหมือนกัน ความต้องการในฝั่งของผู้บริโภค อุปสงค์ค่อนข้างที่จะเยอะทำให้ราคาสินค้าและพลังงาน เพิ่มขึ้น แตกต่างกับของประเทศไทย

ดังนั้นการดำเนินนโยบายทางด้านการเงินก็แตกต่างกันไป แบงค์ชาติ น่าจะมีการทยอยขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีไอซี (EIC) คาดว่าภายในปีนี้ 2565 จะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสองครั้งด้วยกันครั้งละ 0.25% รวมแล้วประมาณ 1.25% ในสิ้นปีนี้

ในส่วนของปีหน้า อาจจะขึ้นประมาณ 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ปีหน้าน่าจะเห็นไปแตะที่ระดับ 2%  เป็นระดับที่หนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ก็ไม่รุนแรงจนเกิดการชะลอตัวในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากจนเกินไป 

ทั้งนี้ยังมีความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้นอาจจะส่งผลกระทบ 4 ด้าน นั้นคือ

1. การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศลดลงเริ่มมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เพราะว่ามีแบ่งฝ่าย จะมีการซื้อสินค้าจากประเทศที่อยู่ในฝั่งตรงข้ามจะหยุดหรือลดการลงทุนระหว่างกัน อย่างที่เห็นในปัจจุบันในส่วนของ รัสเซีย ยูเครน กับฝั่งของยุโรปที่มีการกีดกันในเรื่องทางการค้า

2. มีการย้ายฐานการผลิตมากขึ้น เคยมีฐานการผลิตในประเทศนี้ แต่ตอนนี้ประเทศนี้กลายเป็นฝั่งตรงข้ามก็ต้องย้ายฐานการผลิต

3. ต่อมาธุรกิจผลิตสินค้าคงคลังจะมากขึ้น

4. การเคลื่อนย้ายทรัพยากรระหว่างประเทศลดลง

ดร.สมถวิล วรรณประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อีไอซี (EIC) อีไอซี  ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้แสดงความเห็นว่า “ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์โลกกำลังจะเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่การผลิตจะเห็นภาพ  5 ปีข้างหน้า  คำถาม คือ ประเทศไทยจะอยู่ตรงไหนในห่วงโซ่เหล่านี้ ซึ่งตรงนี้ถือเป็นนโยบายสำคัญ หากชัดเจนจะเห็นภาพในอนาคตจะมากขึ้นและความร่วมมือกันในภูมิภาคอาเซียนจะเป็นทางออกที่ดี โดยไม่ต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่ง เพราะว่าภูมิภาคนี้มีการเติบโตสูง มีจำนวนประชากรเยอะค่าแรงไม่แพงจนเกินไป อันนี้ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ นโยบายทางด้านการเงินการคลัง การบริหารประเทศก็เป็นสิ่งจำเป็นในช่วงนี้ เพราะว่าไม่ได้มีแต่ประเด็นด้านเศรษฐกิจ แต่ยังมีประเด็นการเมืองระหว่างประเทศเข้ามาเพิ่มเติมด้วย”

เรียบเรียงโดย : บ่าวหัวเสือ

ร่วมแสดงความคิดเห็น