ปัจจุบันอากาศในประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตเมือง ทั้งในกรุงเทพและปริมณฑล รวมถึงตามเมืองสำคัญต่าง ๆ เต็มไปด้วยฝุ่นมลพิษมากขึ้น ซึ่งค่ามลภาวะทางอากาศของประเทศสูงติดอันดับต้น ๆ ของโลก
ฝุ่น PM 2.5 คือ
PM 2.5 ย่อมาจาก Particulate Matters 2.5 หมายถึง ฝุ่นละอองในอากาศที่มีขนาดอนุภาคน้อยกว่า 2.5 ไมโครเมตร (ไมครอน) ซึ่งด้วยขนาดอนุภาคที่เล็กมาก ๆ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ถ้ามีปริมาณสูงมาก ก็จะดูคล้ายหมอกหรือควัน
สาเหตุส่วนใหญ่มาจาก การเผาไหม้ (Combustion particles) จากที่ต่าง ๆ เช่น
◉ ท่อไอเสียรถยนต์ หรือเครื่องยนต์
◉ ควันบุหรี่ ควันธูป
◉ การเผาขยะ เผาป่า เผาหญ้า
◉ การเผาไหม้เชื้อเพลิงที่ใช้ในโรงงาน หรือ เชื้อเพลิงในครัวเรือน
ด้วยขนาดที่เล็กมาก ๆ ของฝุ่น PM 2.5 ทำให้สามารถลอดผ่านกลไกการป้องกันสิ่งแปลกปลอมของร่างกาย ( ได้แก่ ผิวหนัง ขนจมูก เยื่อเมือกในหลอดลม รวมไปถึงเซลล์ที่ทำหน้าที่ดักจับสิ่งแปลกปลอมในถุงลม ) เข้าสู่ถุงลมปอดและซึมเข้ากระแสเลือด ทำให้เกิดผลเสียต่ออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้
ผลเสียต่อร่างกาย
ภายนอกร่างกาย
ผิวหนัง
1. เกิดผิวหนังอักเสบ ระคายเคืองผิว ผื่นแดงคัน
2. ซึมผ่านเข้ารูขุมขน เกิดผิวหน้ามันขึ้น และ ทำให้เกิดการอัดตันของรูขุมขน เกิดสิว
3. ฝุ่นที่ซึมผ่านเข้าสู่ชั้นผิวหนัง จะเกิดการอักเสบและกระตุ้นการเกิดอนุมูลอิสระที่ทำลายผิว ทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร และจุดด่างดำ

ภายในร่างกาย
ระบบการหายใจ – เกิดการอักเสบที่เยื่อบุทางเดินหายใจ ตั้งแต่โพรงจมูกจนถึงปลายสุดของถุงลม ทำให้ผู้ที่โรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบการหายใจ เช่น ภูมิแพ้ หรือ โรคหอบหืด จะเกิดการกำเริบของโรคได้ง่ายขึ้น และรุนแรงมากขึ้น คือ ภูมิแพ้กำเริบ (แสบจมูก แสบตา มีน้ำมูก คัดจมูก) หลอดลมอักเสบ (ไอ) หรือโรคหอบหืด หรือโรคถุงลมโป่งพองกำเริบ (ไอ หอบเหนื่อย และ หายใจลำบาก มีเสียงหายใจดังจากหลอดลมตีบ) ส่วนผู้ที่ไม่ได้มีโรคประจำตัวดังกล่าวเดิม สามารถแสดงอาการเช่นเดียวกันได้ หากได้รับฝุ่น PM2.5 เป็นระยะเวลานาน พบว่าสามารถเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งปอดได้สูงขึ้น รวมถึงสามารถเข้าไปทำลายในปอดของเด็กให้แย่ได้ง่ายกว่าปกติ
ระบบหลอดเลือด – ฝุ่น PM2.5 ที่เข้าสู่กระแสเลือด จะทำให้เกิดการอักเสบของผนังเส้นเลือด ในระยะยาวส่งผลให้เกิดความดันโลหิตสูง กล้ามเนื้อหัวใจตายจากเส้นเลือดหัวใจตีบ อัมพฤกษ์อัมพาตจากเส้นเลือดในสมองตีบ
การป้องกันตัวจาก PM2.5
ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่มีการดึง PM2.5 ออกจากร่างกายได้ ดังนั้น การป้องกันไม่ให้มลพิษร้ายเข้าสู่ร่างกายจึงเป็นการรักษาที่ดีที่สุด ดังนี้
การดูแล ป้องกันตนเอง
– หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ควรอยู่ในบ้านหรืออาคารที่มีเครื่องฟอกอากาศ
– สวมหน้ากากอนามัยชนิดที่สามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้ เช่นหน้ากาก N95 เมื่อจำเป็นต้องออกจากบ้าน
– ควรทำความสะอาดผิว / ล้างหน้าให้สะอาดทันที หลังจากที่ต้องสัมผัสกับฝุ่นมลพิษ
– สวมเสื้อแขนยาว เพื่อปกป้องผิวไม่ให้ระคายเคืองของผิว
– ทาครีมบำรุงผิว เพื่อให้ความชุ่มชื้นและทำให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรงขึ้น
– พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ทานผลไม้หรือวิตามินที่สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี ดื่มน้ำสะอาดเพื่อช่วยในการขับสารพิษจากร่างกาย
สำหรับผู้ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีมลพิษหรือฝุ่น PM 2.5 หนาแน่นได้หรือไม่แน่ใจการป้องกันตนได้ผลหรือไม่ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงหากพบว่ามีอาการ เช่น หายใจลำบาก หน้ามืด อ่อนแรง หรือไอติดต่อกันรุนแรง ควรรีบพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาให้ทันท่วงที
มะเร็งปอด อีกหนึ่งสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของประชากรไทย โดยส่วนมากผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดในระยะแรกมักจะไม่ค่อยมีอาการแสดง แต่จะมีสัญญาณที่บ่งบอกถึงการเกิดโรคเมื่อมะเร็งเติบโตหรือเริ่มลุกลามแล้ว ซึ่งมะเร็งปอดสามารถรักษาให้หายได้หากตรวจพบในระยะเริ่มต้น
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งปอด
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปอดได้ แต่มีปัจจัยบางประการที่อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปอดได้ เช่น
- การสูบบุหรี่ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดมะเร็งปอด รวมถึงมะเร็งชนิดอื่นๆ ได้ โดยผู้ที่สูบบุหรี่จะมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอดมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
- ควันบุหรี่ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้สูบบุหรี่ แต่การได้รับควันบุหรี่จากการสูดหายใจเข้าไปจะทำให้มีสารพิษตกค้างซึ่งอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้
- การทำงานในอุตสาหกรรมที่มีสารก่อมะเร็ง การสัมผัสสารก่อมะเร็ง เช่น โครเมียม แร่เรดอน นิกเกิล เป็นต้น
- สภาวะแวดล้อมที่มีฝุ่นละอองพิษ เช่น ฝุ่น PM2.5 จากการศึกษาพบว่า PM2.5 ทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอดได้มากถึง 1-1.4 เท่า ซึ่งถือว่ามีความร้ายแรงเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่
- พันธุกรรม โรคมะเร็งปอดไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยตรง แต่พบว่า หากมีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งปอดตั้งแต่อายุน้อย สมาชิกในครอบครัวก็มีความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน
เช็กอาการของโรคมะเร็งปอด
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น มักจะยังไม่แสดงอาการ แต่เมื่อโรคลุกลามแล้วมักมีอาการแสดงออก ที่สามารถสังเกตได้เบื้องต้น คือ
- ไอเรื้อรัง และไอมีเสมหะปนเลือด
- หายใจสั้น หายใจมีเสียงหวีด เจ็บหน้าอกตลอดเวลา
- หายใจลำบาก หอบเหนื่อย เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
- ปอดติดเชื้อบ่อย
- เสียงแหบ เสียงเปลี่ยน
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
ที่มา : โรงพยาบาลเปาโล เกษตร

ร่วมแสดงความคิดเห็น