สาวเชียงใหม่ เล่าเหตุการณ์ถูกหนุ่มแอบถ่ายกลางห้างดัง แถมจับได้คาหนังคาเขา นำหลักฐานแจ้งความ ผ่านมา 5 เดือนยังเงียบ ตัดสินใจร้องสื่อ แฉพฤติกรรมชัด จี้คู่กรณีออกมารับผิดชอบ ด้านตำรวจแจงเตรียมออกหมายจับแล้ว ยันไม่ได้นิ่งนอนใจ
วันที่ 16 ธ.ค.65 น.ส.ฟ้า (นามสมมุติ) อายุ 23 ปี หญิงสาวหน้าตาดี นำหลักฐานคลิปวิดีโอ พร้อมใบแจ้งความ เข้าร้องเรียนกับผู้สื่อข่าว พร้อมกับเล่าเหตุการณ์ จากกรณีที่ก่อนหน้านี้ เจ้าตัวได้นำคลิปดังกล่าวโพสต์ลงในโซเชียล ซึ่งเป็นคลิปที่เจ้าตัวถ่ายไว้ในวันเกิดเหตุ ที่มีชายคนหนึ่งถูกจับได้ว่าใช้โทรศัพท์มือถือ แอบถ่ายขณะที่เธอนั่งอยู่บริเวณห้างดัง อ.เมืองเชียงใหม่

โดยพฤติกรรมของชายคนดังกล่าว ได้เดินมานั่งข้างเธอ จากนั้นได้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่าย ก่อนที่จะมีพลเมืองดีมาบอกกับเธอว่า ชายคนดังกล่าวกำลังแอบถ่าย และหลังจากนั้นได้ขอชายคนดังกล่าวดูโทรศัพท์ที่ถ่ายรูปก่อนหน้านี้ แต่ชายคนดังกล่าวกลับพยายามเดินหนี และไม่ยอมให้ดูไฟล์ภาพในโทรศัพท์ เธอจึงเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ให้เข้ามาช่วยเหลือและขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยดูภาพในโทรศัพท์ให้ แต่ชายคนดังกล่าวก็ไม่ยอม ใช้เวลาคุยอยู่นานเกือบ 10 นาที ชายคนนี้ก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือ ก่อนจะเดินออกไปที่ลานจอดรถ ซึ่งเธอก็ได้เดินตามไปพร้อมกับพลเมืองดี โดยบอกว่าหากไม่ยอมรับและไม่ให้ดูภาพในโทรศัพท์จะแจ้งความตำรวจ แต่ชายคนดังกล่าวก็ไม่สนใจ และขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีออกไปในที่สุด
โดย น.ส.ฟ้า ( นามสมมุติ ) ผู้เสียหาย เล่าว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นเวลาประมาณ 17.00 น. ของวันที่ 15 ก.ค.65 ที่ผ่านมา ขณะที่ตนนั่งอยู่ที่บริเวณชั้น 1 ของห้างดังกล่าว ซึ่งในวันนั้นได้สวมเสื้อกล้ามสีขาว กางเกงขายาว และมานั่งรถแฟนเพื่อจะมารับกลับบ้าน แต่ระหว่างที่นั่งรออยู่คนเดียวนั้น ได้มีชายคนหนึ่งตอนแรกได้เดินวนก่อน 1 รอบ แล้วได้เข้ามานั่งใกล้ๆ ซึ่งในตอนแรกตนได้หยิบกระเป๋ามาไว้ใกล้ตัว เพราะกลัวว่าจะถูกคว้ากระเป๋า จากนั้นชายคนดังกล่าวก็นั่งอยู่ซักพักแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ทำทีเป็นถ่ายเซลฟี่ และถ่ายรอบๆ ซึ่งตนก็ไม่ได้รู้ตัวว่าถูกแอบถ่าย จนกระทั่งมีชายพลเมืองคนหนึ่ง ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเข้ามาสะกิดบอกว่าชายคนดังกล่าว กำลังแอบถ่ายตนจึงรีบลุกเดินออกไปกับพลเมืองดี แต่ปรากฏว่าชายคนดังกล่าวไม่ยอมเลิก กลับเดินตามเธอออกมา เธอจึงตัดสินใจเข้าไปถาม ทำให้ชายคนดังกล่าวเดินหนี ตนกับพลเมืองดีจึงเดินตามไปพร้อมกับขอดูโทรศัพท์ ที่ชายคนดังกล่าวใช้ถ่ายรูป แต่ชายคนดังกล่าวก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ดู แต่ตนไม่ยอมและพยายามขอดูโทรศัพท์ จนสุดท้ายชายคนดังกล่าวจึงยอมให้ดู และเห็นว่ามีภาพรูปที่เธอโดนแอบถ่ายจริงๆ จากนั้นชายคนดังกล่าวได้รีบลบไฟล์ภาพออก และพยายามเดินหนีไปและไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ก่อนจะขี่จักรยานยนต์หลบหนีออกไป

ต่อมา หลังเกิดเหตุในช่วงเย็นวันเดียวกัน ตนจึงนำภาพถ่ายรถจักรยานยนต์ พร้อมป้ายทะเบียนของชายโรคจิต เข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.อภิสิทธิ์ สุนันต๊ะ พนักงานสอบสวน สภ.ช้างเผือก ให้ดำเนินคดีกับชายคนนี้ ต่อมาพนักงานได้นัดตนพร้อมพยานเข้าให้ปากคำ เมื่อวันที่ 19 ก.ค.65 หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบไป จนกระทั่งตนต้องนำหลักฐานไปค้นหาเอง จนกระทั่งเจอเบาะแส และสามารถติดต่อกับแม่ของชายคนดังกล่าวได้ พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวให้ฟัง และทราบว่าชายคนดังกล่าวมีภูมิลำเนาอยู่ กทม. แต่ทางแม่ของชายคนดังกล่าวบอกว่าลูกชายอยู่ที่เชียงใหม่ และต่อมาชายคนดังกล่าว ได้ติดต่อนัดขอเจรจาไกล่เกลี่ยที่โรงพัก แต่นัดแล้วก็ไม่มาถึง 2 ครั้ง
โดยครั้งแรกบอกว่าติดโควิด และครั้งที่สองตนไปพร้อมกับทนายเพื่อจะนัดเจรจาไกล่เกลี่ย แต่สุดท้ายชายคนดังกล่าวก็ไม่มา ก่อนจะหายตัวไป จนถึงวันนี้ผ่านมานานเกือบ 5 เดือน ทราบเพียงแต่ว่าตำรวจมีการออกหมายเรียก แต่ยังไม่มีการจับกุมตัวมาดำเนินคดี เธอจึงนำเรื่องนี้มาโพสต์เพราะไม่อยากให้เรื่องเงียบเพราะเป็นพฤติกรรมที่ปล่อยไว้ไม่ได้ และเพื่อเตือนภัยสาวๆ ให้ระมัดระวังตัวจากพวกโรคจิต เมื่อต้องไปอยู่ในที่มีคนพลุกพล่าน รวมทั้งเรียกร้องให้ตำรวจเร่งรัดจับกุมชายคนนี้มาดำเนินคดีโดยเร็ว เพื่อจะได้ไม่ไปทำตัวเป็นภัยสังคมที่ไหนอีก
อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้นนี้ ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อสอบถามไปยัง พ.ต.ท.กรณ์ ศศิมณฑา รองผู้กำกับการสอบสวน สภ.ช้างเผือก เพื่อติดตามความคืบหน้าและทราบว่า คดีนี้ตำรวจไม่ได้นิ่งเฉย หลังผู้เสียหายแจ้งความ พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้เสียหายและพยาน และเรียกตัวผู้ก่อเหตุมาแจ้งข้อหา “ กระทำด้วยประการใด ๆ ต่อผู้อื่น อันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคามหรือกระทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ ” ไปแล้ว ซึ่งผู้ต้องหาได้ประกันตัวไปสู้คีด

หลังจากนั้นพนักงานสวนสวนสรุปสำนวน เมื่อถึงวันที่เรียกตัวมาพบเพื่อส่งฟ้องต่อพนักงานอัยการ ผู้ต้องไม่ยอมมาพบ พนักงานสอบสวนจึงออกหมายเรียกไปตามภูมิลำเนา แต่ออกหมายเรียกครั้งแรกก็ยังไม่มา ล่าสุดได้ออกหมายเรียกครั้งที่สองไปแล้ว หลังจากนี้ภายใน 12 วัน หากยังไม่มาพบจะออกหมายเรียกตามขั้นตอน
ส่วนกรณีที่ผู้เสียหายมองว่าตำรวจไม่ทำงาน พ.ต.ท.กรณ์ บอกว่า พนักงานสอบสวนดำเนินการไปตามขั้นตอน แต่เนื่องจากเป็นคดีลหุโทษ ทำให้พนักงานสอบสวนไม่มีการติดต่อสื่อสารกับฝั่งผู้เสียหายอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าตำรวจทำงานช้า ยืนยันว่าตำรวจให้ความสำคัญในทุกคดี
ร่วมแสดงความคิดเห็น