303

เปิดประวัติขุนคลัง “กฤษฎา จีนะวิจารณะ” รมช. กระทรวงการคลัง

เปิดประวัติขุนคลัง “กฤษฎา จีนะวิจารณะ”รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (โควตาคนนอก) . กฤษฎา จีนะวิจารณะ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี – นิติศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และระดับปริญญาโท – บริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัย New Haven สหรัฐอเมริกา.ทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังกว่า 30 ปีดำรงตำแหน่งอธิบดีและผู้อำนวยการหลากหลายกรม.อาทิ ▪️อธิบดีกรมศุลกากร▪️อธิบดีกรมสรรพสามิต▪️ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง▪️ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง.ก่อนเติบโตตามชีวิตข้าราชการ สู่ ‘ปลัดกระทรวงการคลัง’.นอกจากนั้นยังเป็นประธานกรรมการ▪️บริษัท ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), ​กรรมการ▪️บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), กรรมการ▪️บริษัท ท่าอากาศยาน จำกัด (มหาชน),▪️และกรรมการ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน)​.เมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมาได้ยื่นใบลาออกจากปลัดกระทรวงการคลังเพื่อเข้ารับตำแหน่ง ‘รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง’ ใน ครม. นายเศรษฐา 1 ที่ทั้งคู่พึ่งเข้าหารือนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ที่่ผ่านมา.เป็นที่หาจับตาว่า..ปกติแล้ว […]

พักหนี้ 3 ปี ทั้งต้น ทั้งดอก ช่วยปี้น้องเกษตรกรไทยได้หรือไม่?

เป็นที่แน่นอนแล้วว่า ประเทศไทยกำลังจะมีรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะเข้ามาบริหาร ทำให้หลายฝ่ายต่างจับตารอดูนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจขนานใหญ่ โดยเฉพาะ “นโยบายพักหนี้เกษตรกร” ที่พี่น้องชาวไร่ชาวนาให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ออกมาเปิดเผยว่า ขณะที่ทางธนาคารได้เตรียมพร้อมในการรวบรวมข้อมูลและรายละเอียดของลูกหนี้ทุกกลุ่ม และได้รับการประสานงานกับทางกระทรวงการคลังเป็นที่เรียบร้อย แต่จะต้องรอรายละเอียดนโยบาย ภายหลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาอีกที ด้วยแนวคิดนโยบายที่ต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายแก่เกษตรกร ด้วยการพักหนี้ทั้งต้น ทั้งดอก เป็นระยะเวลา 3 ปี ทำให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐศาสตร์หลายท่าน มองว่า นโยบายนี้อาจไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุดมากเท่าใดนัก  จากงานศึกษาเชิงประจักษ์ โดย 101 Pub สำนักข่าว 101 world โดยอ้างอิงข้อมูลปริมาณสินเชื่อของเกษตรกรในธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) พบว่า หากรัฐต้องการพักหนี้และช่วยเหลือภาระดอกเบี้ยเกษตรกรชั่วคราว โดยให้สิทธิแก่ทุกคนโดยอัตโนมัติอย่างไม่มีเพดานวงเงิน รัฐจะต้องจัดสรรเงินชดเชยแก่ ธกส. 30,000 – 60,000 ล้านบาทต่อปี  รวมทั้งอาจเกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเงินกู้  นอกจากนี้งานศึกษาดังกล่าวยังพบอีกว่า เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการช่วงปี พ.ศ. 2558 – 2564 กลับมีหนี้สินเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 3-4 […]

ราคาทองคำและเงินบาท วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม 2566

สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำฟื้นตัวขึ้นมาให้ผลตอบแทนที่ถือว่าดีที่สุดในรอบ 6 สัปดาห์โดยปัจจัยหนุนมาจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงหลังจากที่เงินดอลลาร์เดินหน้าแข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบ 2 เดือนครึ่ง เงินดอลล่าร์อ่อนค่าลงมาจากการเพาะบ่มของภาคการผลิตและภาคการบริการของสหรัฐอ่อนแอและก็แย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้ โดยเฉพาะภาคการบริการ ดัชนีออกมาต่ำที่สุดในรอบ 6 เดือน ส่วนปัจจัยทางด้านเทคนิคก็เป็นปัจจัยหนุนหลังจากที่เกิดเครื่องมือทางเทคนิคระยะสั้น เกิดสัญญาณซื้อขึ้นทำให้ราคาทองคำก็สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันมา 4 วัน ตั้งแต่วันจันทร์จนถึงวันพฤหัส  แต่วันศุกร์ราคาทองคำย่อตัวลงซึ่งก็เป็นผลจากการกล่าวสุนทรพจน์ของ นายเจอโรม พาวเวลประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีการแถลงในการประชุมประจำปีที่ แจ็กสันโฮล แถลงว่า เงินเฟ้อยังสูงเกินไปแล้วก็อาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อไป โดยรายละเอียดก็คือ ท่านบอกว่า เงินเฟ้อของอเมริกาอยู่สูงเกินไปและอาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อไป โดยรายละเอียดของเนื้อหา นายเจอโรม พาวเวล กล่าวว่า อาจจะต้องต่อสู้ต่อไปถึงแม้จะมองว่าเงินเฟ้อน่าจะลดลงจากเคยขึ้นไปที่จุดสูงสุดมาแล้ว แต่ว่าตอนนี้ก็ยังมองว่าสูงเกินไป เฟดก็เตรียมขึ้นอัตราดอกเบี้ยอะอีกเพื่อให้เงินเฟ้อลงมาสู่เป้าหมาย 2% ที่ผ่านมาเฟคขึ้นดอกเบี้ยมาแล้ว 11 ครั้ง อัตราดอกเบี้ยของเฟคล่าสุดก็คือ 5.25-5.5% สูงที่สุดในรอบ 22 ปี ทั้งนี้ เฟดไม่ได้ส่งสัญญาณที่จะลดดอกเบี้ยลงและไม่ได้พูดเรื่องนี้เลย พูดแต่ว่าจะขึ้นดอกเบี้ย ในส่วนของราคาทองคำสปอร์ตคืนวันศุกร์มีการปรับตัวลงมาใกล้ๆ 1,900 ดอลลาร์ และมีการฟื้นตัวขึ้นมาก่อนปิดตลาดที่ 1,914 ดอลลาร์ ลดลงไป 2 ดอลลาร์ แต่ทั้งสัปดาห์เพิ่มขึ้นถึง 25 ดอลลาร์ หรือว่าเพิ่มขึ้น 1.35% และกองทุน SPDR สัปดาห์ที่แล้วขายทองคำออกมา 0.06 ตัน ประเด็นที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้มี 3 ประเด็นคือ ตัวเลขตลาดแรงงานของสหรัฐ มีการจ้างงานจำนวนตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัคร และจำนวนผู้ขอการว่างงาน 2 GDP ไตรมาส 2 ซึ่งเป็นการประมาณการครั้งที่ 2 และส่วนที่ 3 ดัชนี PCE พื้นฐานเดือนกรกฎาคม ตัวเลขการว่างงานตลาดคาดการณ์ว่า GDP จะเพิ่มสูงขึ้น จำนวน 201,000 ตำแหน่ง ตัวเลขการจ้างงานนอกกระแสตลาดคาดการณ์ว่า จะเพิ่มขึ้น 196,000 ตำแหน่ง  แนวโน้มราคาทองคำสปอร์ตระยะสั้น คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,900 ถึง 1,920 ดอลลาร์ ซึ่งคิดว่าประเด็นที่ทำให้ราคาทองคำผันผวน ตั้งแต่ช่วงกลางสัปดาห์เป็นต้นไป ก็คงเกิดขึ้นจากตัวเลขการจ้างงาน แล้วก็ดัชนี pce พื้นฐาน ตรงนี้สำคัญเพราะว่า เพราะเป็นอัตราเงินเฟ้อเป้าหมาย เฟค ใช้ในการเฝ้าดู ตัวนี้เป็นหลัก ทองคำให้แนวรับให้ 1,900 และ 1,890 ดอลลาร์ ในส่วนของแนวต้านให้ 1,920 ดอลลาร์ และ 1,930 ดอลลาร์  สำหรับราคาทองคำแท่งของสมาคมทองคำเมื่อวันเสาร์ขายออก 31,850 บาทเพิ่มขึ้น 100 บาท […]

เผยข้อมูลเชิงลึก ! คนไทยใช้จ่ายอะไรบ้าง ในแต่ละเดือน

เคยสงสัยกันหรือไม่ ว่าในรอบเดือน คนไทยใช้จ่ายอะไรกันบ้าง เสียเงินไปกับอะไรมากที่สุด ซึ่งทางสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของครัวเรือนไทย ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา จากการประเมินค่าใช้จ่ายในเดือนที่ผ่านมา พบว่าแต่ละครัวเรือนมีรายจ่ายอยู่ที่ 18,130 บาท นอกจากนี้ยังพบว่าค่าใช้จ่ายร้อยละ 58.53 อยู่ในหมวดสินค้าที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ โดยค่าโดยสารสาธารณะ รถยนต์ ค่าน้ำมัน และค่าโทรศัพท์ติดอันดับต้นๆของรายจ่ายที่คนไทยต้องเสียมากสุด ขณะที่ร้อยละ 41.47 อยู่ในหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ สถานการณ์ทางการเงินในปัจจุบัน ยังถือว่ายังไม่ดีมากนัก จากภาวะเงินเฟ้อ และปัจจัยเสี่ยงที่จะกระทบต่อภาคเศรษฐกิจ ดังนั้นแล้ว ภาครัฐจะต้องเร่งรีบแก้ไขปัญหาทางการเงินให้แล้วเสร็จ ขณะที่ภาคประชาชน จะต้องวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาหนี้สินขยายตัว ซึ่งจะส่งผลต่อความมั่นคงทางการเงินของตนเอง ที่มา : สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์

แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ทำได้จริงหรือไม่ ?

ขั้นตอนจ่ายเงิน 10,000 บาทให้กับบุคคลที่มีสิทธิ์นี้จะเป็นอย่างไร? คงไม่ใช่รูปแบบเงินสดแน่ ๆ แต่จะเป็นยังไงบ้างสำหรับการจ่ายเงินเป็นเงินดิจิตอลต้องมาดูกันว่าจริงต้องตั้งคำถามกับทุกท่านว่าจริงๆ แล้วเงินที่ได้มามันคือ เงินบาท ดังนั้นก็ไม่ควรที่จะแตกต่างจากเงินธรรมดา แต่ที่น่าจะแตกต่างคือเงื่อนไขของการใช้จ่ายว่าจะเอาไปใช้จ่ายที่ไหนได้บ้าง ประเด็นที่น่าสนใจอย่างมาก คือ เงินที่ได้มานั้นใช้ได้เลยหรือไม่ มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเรายังไม่สามารถตอบได้เลยว่าคนรับอยากจะรับไหม ? แล้วคนรับจะรับได้ยังไง คนรับเอาไปใช้ต่อได้อย่างไรประเด็นเหล่านี้เป็นคำถามที่จะต้องหาคำตอบและตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้พอสมควร ในประเด็นที่หนึ่ง คนรับแล้วนำไปใช้ยังไง ก็มีการพูดออกมาจากฝั่งของพรรคเพื่อไทยว่า สำหรับ ประชาชนคนไทยสามารถใช้หมายเลขบัตรประชาชนในการยืนยันตัวตนและสามารถนำไปใช้จ่ายได้ทันที ตรงจุดนี้อาจจะเป็นจุดที่ยังไม่มีความชัดเจนว่ามันจะไปยังไงต่อ ตรงนี้คงต้องรอฟังเพื่อไทยที่เป็นเจ้าของนโยบายกันดู แต่ว่าถ้าทำอย่างนี้ได้จุดเริ่มต้นของการ แจกเงิน คิดว่าแจกกันค่อนข้างง่าย เพราะว่าทำอย่างนั้นได้จริงตรงนี้ก็จะมีประเด็นว่าเงินที่จะนำออกมาแจกได้รับแล้ว ผู้รับไม่อยากใช้ตามขั้นตอนเอาไปขายให้กับคนที่มีความอยากได้ แบบตกเขียวหรือลดราคา เช่น 10,000 บาท ผมบอกผมต้องการเงินสด แค่ 8,000 บาท ดังนั้นไม่ว่าเงินจะมารูปแบบไหน เป็นแอพบาท  บาร์โค้ดหรือ คิวอาร์โค้ด มันไม่จำเป็นต้องโอนเงินวันนี้เพราะมีเวลาใช้เงิน 6 เดือนนั้นมันสามารถบอกได้ว่าการยืนยันตัวตนอาจจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็ได้.. เรื่องที่สอง บอกว่าเงินที่ได้รับใช้จ่ายไม่เกิน 4 กิโลเมตร ในทุกที่ที่มีคิวอาร์โค้ดบอกจะใช้ได้เลยจริงๆไม่ได้อย่างที่หาเสียงไว้ ประเด็นนี้จำเป็นที่จะต้องมีแอปพลิเคชันหรือมีอะไรบางอย่างที่จะมายืนยันว่าผู้ใช้เงินอยู่ตรงนั้นหรือเปล่าใช่ตรงนั้นหรือเปล่าซึ่งตรงนี้มีมติที่สามารถจะทำได้ก็คือว่าเรารู้ว่าตำแหน่งที่เราต้องการให้เขาใช้จ่าย ดูจากตำแหน่งของคนจ่ายหรือคนรับ ถ้าดูจากตำแหน่งของคนจ่ายคนหรือชำระเงินก็แปลว่าต้องมีแอปแน่นอนและดูจากตำแหน่งของผู้จ่าย ร้านค้าไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งก็ได้ เพราะไม่ได้มีการตรวจทั้งสองฝ่าย ระบบอาจจะไม่ได้ใช้ได้ตามที่หวังเอาไว้ เพราะฉะนั้นจริงๆมีหลายประเด็นที่อาจจะต้องใช้เวลานานพอสมควร เรามาดูภาพใหญ่กันดีกว่าเพื่อไทยบอกชัดเจนว่าไม่สามารถถอนออกมาเป็นเงินสดได้ แต่ว่าโอนได้หรือเปล่าประเด็นนี้ยังไม่มีการพูดถึง แต่ว่ามันเป็นเงินในระบบ ต้องถามว่าเพื่อไทยได้มีการไปพูดคุยกับแบงค์ชาติหรือเปล่าเกี่ยวกับกฎหมายว่าจะทำได้ไหมหรือว่าขัดต่อข้อกฎหมายบางประการหรือเปล่า ในมุมมองประเด็นนี้ เงินที่ได้รับเป็นเงินบาทหรือไม่ เพราะถ้าคิดว่ามันเป็นเงินบาทมีความเทียบเท่าเงินบาทจริงๆ ถึงแม้ว่าจะใช้งานผ่านแอฟพลิเคชั่น ก็ถือว่าเป็นการพิมพ์เงินออกมาหรือว่าเป็นการก่อหนี้ คุณสมบัติเทียบเท่าเงินบาททุกประการ มันก็จะไปเข้าพระราชบัญญัติเงินตรา มาตรา 2501 ที่บอกว่า คนที่จะออกธนบัตร ออกตั๋วเงินตราต่างๆ ได้ คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นผู้ออก แต่ว่าวันนี้อยู่ดี ๆ จะมีเงินส่วนที่สามและเป็นเงินดิจิตอลต้องถามว่ามันมีความสามารถใช้จ่ายได้แล้วหรือยัง แล้วถูกจัดว่าเป็นเงินส่วนไหนของเงินตรา เพราะเงินตรามีข้อกำหนดอยู่ที่มาตรา 9 ระบุไว้ว่า ให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีในการที่จะยกเว้นเรื่องดังกล่าวให้คนอื่นสามารถที่จะพิมพ์เงินเหล่านั้นออกมาได้ ประเด็นที่น่าสนใจต่อมา คือ เงินตราเหล่านี้ออกมาแล้วอยู่ตลอดไปก็อาจจะฟังดูง่ายแปลว่าเงินตรงนี้ก็จะถูกเปลี่ยนการปรับใช้ได้ตลอดเวลา แต่เงินก้อนนี้ถูกจำกัดว่าเอาไปใช้ได้เพียง6 เดือนเท่านั้น เงินที่จะออกมา ห้าล้านห้าแสนล้านบาท ต้องใช้ให้หมดภายในเวลา 6 เดือน แล้วคนที่ถือเงินเป็นคนสุดท้ายจะได้เงินกลับไปยังไง เขาไม่ได้เงินกลับไปแปลว่าอะไร แปลว่าเขาต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ห้าล้านห้าแสนล้านบาท ที่เขารับมาทั้งหมดหรือเปล่ามันจำเป็นที่จะต้องมีการขายของคืนเพื่อหมุนเม็ดเงินกลับเข้ามาในระบบของเขาในรูปแบบเงินตราที่ใช้อยู่จริง ตามมาด้วยประเด็น รัฐบาลจะหาเงินตรงนี้มาจ่ายคืนได้ยังไง ห้าแสนล้านบาท เท่ากับว่าวันแรกอาจจะพิมพ์ออกมาเป็นเงินจริงๆ แต่ว่าพอสุดท้ายแล้วมันจะกลายเป็นการก่อหนี้ของภาครัฐคือการออกมีปริมาณมากเป็นการก่อหนี้ที่ค่อนข้างสูงพอสมควรคือ คิดเป็นปริมาณ 2 – 3 % ของ GDP เป็นเงินงบประมาณประมาณ 16% ของงบประมาณ ซึ่งคิดว่าเป็นจำนวนที่ค่อนข้างเยอะมากแต่ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบอื่น เราจะไม่มีโอกาสที่จะนำเงินตรงนี้มาใช้จ่ายได้ง่าย ประเด็นต่อมา เงินจำนวนห้าแสนล้านบาท บอกว่าเดี๋ยว 6 เดือนจะเอาเงินมาคืน จะทำได้จริงหรือไม่ สมมุติ คุณเป็นเจ้าของร้านอาหารได้เงินจากกลุ่มที่ได้รับเงิน จำนวน 10,000 บาท คุณก็ต้องเอาเงินไปซื้อ เครื่องปรุง หมู เห็ด เป็ด ไก่ หรืออะไรก็ตามที่เป็นวัตถุดิบ แต่ติดที่เขากำหนดไว้ คือ 4 กิโลเมตร ถามว่าคุณชื้อทั้งหมดใน 4 กิโลเมตรได้จริงหรือ ตลาดที่คุณต้องการชื้อวัตถุดิบ อยู่ในรัศมี 4 กิโลเมตรที่เขากำหนดหรือไม่  คำถามก็วนกลับมาที่เดิมและต้องเป็นประเด็นที่ยังต้องถกเถียงกันเยอะมากว่าถ้าเงินเหล่านี้ใช้ได้แต่ก็ติดรัศมี 4 กิโลเมตรจำกัดประเภทของเงินที่จะใช้ คนใช้ได้อาจจะอยากใช้จ่ายแต่คนรับอาจจะไม่อยากรับ ตามหลักแล้วมันสามารถวัดความคุ้มค่าของประมาณได้ไหม เงินที่ใส่เข้าไปในระบบหนึ่งบาท คุณจะประเมินความคุ้มค่าโครงการที่จะใส่เงินเข้าไป หลักแสนล้านบาทยังไง เพราะมันแตกต่างจากการใช้จ่ายเงินของภาครัฐฯ แตกต่างจากการใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่เอาไปสร้างถนนหรือเอาไปทำอะไรการตามที่เป็นสาธารณะประโยชน์ ต่างๆ หรือโครงสร้างพื้นฐานแล้วประชาชนได้เงินจากการจ้างงาน เงินเหล่านี้ก็จะหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ อีกรูปแบบคือการที่รัฐบาลใช้จ่ายเองรัฐบาลเอาเงินไปมอบให้กับประชาชนและประชาชนเอาไปใช้จ่ายเงินอีกทีหนึ่ง ตามทฤษฎีที่รัฐใช้จ่ายเงินภาครัฐโดยตรง เอาไปจัดซื้อจัดจ้างทำอะไรบางอย่างก็ทำให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานทำให้เกิดประโยชน์ในอนาคต ซึ่งตรงนี้เป็นตัวเลขที่วัดค่อนข้างยากแต่รู้กันว่าค่อนข้างสูงโดยเฉพาะถ้าการลงทุนนั้นนับเป็นการลงทุนที่ทำให้ โครงสร้างพื้นฐานเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ได้จริง ส่วนที่เป็นเงินที่เอาไปให้ประชาชนใช้จ่ายโดยตรงก็คงจะค่อนข้างใกล้เคียงกับเงินดิจิตอลที่กำลังพูดถึง การใช้จ่ายในลักษณะแบบนี้ หลายๆประเทศมีการประเมินมาแล้วและก็ได้ตัวเลขที่ค่อนข้างต่างกันมาก อย่างเช่น ตุรกี เคยพยายามวัดตัวเลขนี้ปรากฏว่า นำเงินให้ไป 100 บาท มีการใช้จ่ายจริงหมุนเวียนหลายๆรอบใช้จ่ายได้ภายในประเทศ เคยมีการพยายามวัดกันแล้วก็บอกว่าเงินหนึ่งร้อยบาท จะกลับมาหมุนเวียนในระบบประมาณ 98 บาท ย้อนกลับไปตอนช่วงโควิดมีโครงการต่างๆ ที่ช่วยเหลือประชาชนในช่วงที่ได้รับความเดือดร้อนกับการระบาดโควิดมีงบประมาณที่เราขอกู้ยืมเงินเพิ่มเติม 1.5 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการใหญ่ๆ เช่น โครงการคนละครึ่ง โครงการไทยเที่ยวไทย เป็นต้น รวมกันประมาณ 800,000 ล้านบาท ถามว่าเม็ดเงินนี้สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจได้มากจริงไหม มันไม่เยอะที่คิดไว้ ตอนแรกเราคิดว่าเดี๋ยวมันคงจะหมุนกับมา 5 รอบ 10 รอบไม่ถึงขนาดนั้น น้อยกว่านั้นเยอะ การที่พรรคเพื่อไทยต้องการที่จะทำให้ ประชาชน อาจจะรู้สึกดีกับรัฐบาลชุดนี้กับพรรคการเมืองชุดนี้ว่าพยายามนำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต แต่ว่าหลายคนอาจจะมองข้ามมิติที่ เคยตั้งคำถามไหมว่าอยากได้เงิน 10,000 บาท ไหม ? สมมุติว่าเราเปลี่ยนคำถามว่าถ้าได้เงิน 10,000 อนาคตเรายังมีภาระต้องชำระหนี้ที่เกิดขึ้น 10,000 บวกดอกเบี้ย อีกเท่าไหร่… คำถามสุดท้ายคือ 6 เดือนผ่านไปคนถือเงินคนสุดท้ายจะทำอย่างไรกับเงินนี้ และถ้าการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่แรงพอ เงิน 10,000 บาท ตรงนี้อาจจะทำให้เราแย่ลง ในภาพรวมในอนาคตก็เป็นไปได้เพราะไม่มีอะไรมาบอกเราได้เลยว่าในอนาคตเศรษฐกิจเราจะไม่แย่ลง หากนักการเมืองของเมืองไทยยังสนใจแต่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่า….ประชาชน เรียบเรียงโดย : บ่าวหัวเสือ

ดอลล่าร์แข็งค่าทำบาทไทยร่วง หนุนราคาทองขึ้นสุดสัปดาห์

เมื่อพูดถึงสินทรัพย์ที่คนจำนวนมากลงทุน นอกจากตราสารหนี้ กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ และหุ้นแล้ว “ทองคำ” ก็ถือเป็นสินทรัพย์สำคัญ ที่หลายคนสนใจที่จะลงทุน ซึ่งกลไกราคาทองคำนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ตัว คือความต้องการขาย  ไม่ว่าจะเป็นการผลิตจากเหมืองทอง การนำกลับมาใช้ใหม่ หรือการขายจากผู้ที่ถือครองเดิม เป็นต้น และ ความต้องการซื้อ ซึ่งทองคำนอกจากจะนิยมไปซื้อเป็นเครื่องประดับแล้ว ยังนิยมซื้อเพื่อไปลงทุน เก็บไปเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ รวมถึงการใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์  และเพื่อไม่ให้ความต้องการซื้อและขายทองคำกระทบราคามากเกินไป จึงได้มีการกำหนดสัดส่วน เพื่อป้องการการแปรผันอย่างรวดเร็วของราคาทองคำ สำหรับราคาทองคำในวันนี้ 26 สิงหาคม 2566 เวลา 09.20 น. เปิดตลาดเช้า ปรับเพิ่ม 50 บาท โดย InterGold ได้วิเคราะห์ราคาทองคำเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า ภายหลังจากที่ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯแข็งขึ้น ทำให้ค่าเงินบาทไทยอ่อนลง ทำให้ช่วยหนุนการปรับขึ้นของราคาทอง  นอกจากนี้ยังมีประเด็นข่าวทางเศรษฐกิจที่ต้องจับตามอง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อราคาทองในอนาคต เช่น ท่าทีการขึ้นดอกเบี้ยของ FED หรือธนาคารกลางของสหรัฐฯ และการรับสมาชิกใหม่ของกลุ่มประเทศ BRICS ซึ่งจะเป็นการเพิ่มอำนาจการต่อรองทางการค้าของกลุ่มประเทศดังกล่าว มากขึ้น

ก.พ.ร.จัดประชุมจัดการไฟป่า และแก้ไขปัญ หา PM 2.5

วันที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา ณ ห้องดอยหลวง ชั้น 2 โรงแรม Kantary Hills จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการจัดการประชุมเรื่อง การบริหารจัดการไฟในพื้นที่ป่าไม้ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในพื้นที่ปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab) ได้แก่ อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ –  ปุย และอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ในช่วงเช้าของวันเดียวกัน ผู้เข้าร่วมประชุมได้เดินทางลงพื้นที่ บ้านม้งดอยปุย อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ – ปุย เพื่อติดตามการดำเนินการ ซึ่งภายในงานได้มีผู้เข้าร่วมประชุมจากหลายฝ่าย เพื่อร่วมหาทางออกในการแก้ปัญหาไฟป่าและ PM 2.5 ซึ่งกลายเป็นปัญหาสำคัญที่กระทบต่อประชาชน ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยผู้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ได้แก่ นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ประธาน อ.ก.พ.ร. ส่งเสริมภาครัฐระบบเปิดและการมีส่วนร่วม ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เป็นต้น สำหรับโครงการพื้นที่ปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab)  เป็นการดำเนินการทดลองแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยมีองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นแกนนำหลักในการดำเนินการ และมีราชการส่วนกลางสนับสนุน เพื่อที่จะสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ไม่เพียงแค่แก้ไขในแต่ละช่วงฤดูกาลเท่านั้น ประกอบกับปัญหาที่เกิดขึ้น ทางหน่วยงานภาครัฐไม่สามารถรับมือได้เพียงแค่ฝ่ายเดียว รวมทั้งยังกระทบต่อภาคเศรษฐกิจสูงถึง ร้อยละ 5 ต่อ GDP ในแต่ละปี ส่งผลให้ภาครัฐมีความต้องการที่จะให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งความช่วยเหลือด้านทุน เทคโนโลยี รวมทั้งแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น  โดยหลังจากที่ได้มีการนำร่องในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี และลำปาง เมื่อ 2 ปีที่แล้ว จึงได้มีการขับเคลื่อนพื้นที่ปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐในจังหวัดเชียงใหม่ บริเวณ 2 พื้นที่ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ –  ปุย และอำเภอแม่แจ่ม โดยได้มีการลงนามคำสั่ง เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เพื่อแก้ปัญหาไฟป่า และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5  สำหรับการประชุมครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมประชุม เห็นชอบให้มีการจัดตั้งฐานข้อมูลและการทำ Big Data เพื่อรวบรวมข้อมูลด้านต่างๆ ที่จะสามารถนำมาวิเคราะห์แนวทางป้องกัน และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ รวมถึงการแก้ไขกฎระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน  ซึ่งจะช่วยให้ทุกฝ่ายสามารถนำข้อมูลไปใช้ในการจัดการปัญหาในแต่ละพื้นที่ และส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างทุกฝ่ายได้ นอกจากนี้ ประเด็นการจัดสรรพื้นที่ทำกินแก่ประชาชน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่หลายฝ่ายเร่งให้มีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อลดการบุกรุกพื้นที่ป่า และส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่ มีที่ทำกินอย่างเป็นธรรม

Thailand Biennale 2023 ยกระดับศิลปะ และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ภาคเหนือ

ช่วงหน้าหนาวของทุกปี นอกจากจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวภาคเหนือ ซึ่งเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจรับรายได้จากนักท่องเที่ยวอย่างมหาศาล ในปี 2566 นี้ ภาคเหนือของเราจะร่วมเป็นเจ้าภาพมหกรรมจัดแสดงงานศิลปะระดับโลก Thailand Biennale, Chiang Rai 2023  อะไรคือ Thailand Biennale ?  เพราะอะไรเราถึงต้องสนใจ ?  ภาคเหนือจะได้รับการกระตุ้นทางเศรษฐกิจอย่างไรจากงานนี้ ? คำถามทั้งหมดที่หลายคนสงสัย ในวันนี้ ทาง Chiang Mai Move จะมาให้คำตอบเพื่อให้ทักคนได้ทราบโดยถ้วนกัน ก่อนจะไปถึงงาน Thailand Biennale  เราต้องมาทำความรู้จักกับคำว่า Biennale กันก่อน โดยคำว่า Biennale นั้นมาจากภาษาอิตาเลียน ที่แปลว่า “ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทุก ๆ 2 ปี หรือเกิดขึ้นทุกปีเว้นปี (every other year)” ซึ่งในที่นี้ เราหมายถึง เทศกาลศิลปะนานาชาติ ที่จัดขึ้นทุก 2 ปี โดยมีจุดกำเนิดมาจาก Venice Biennale เมืองเวนิสประเทศอิตาลี […]

เอลนีโญ่ทำพิษ ทำเศรษฐกิจภาคเหนือ 2567 ชะลอตัว

แม้ว่าทิศทางเศรษฐกิจภาคเหนือในปีนี้ จะยังคงมีแนวโน้มขยายตัวไปจนถึงสิ้นปี แต่ในปี 2567 ที่จะถึงนี้ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจอาจไม่สดใสอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์เอาไว้  วันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา ในงานสัมมนาทางวิชาการ ประจำปี 2566 “ยกระดับเศรษฐกิจเหนือ คว้าโอกาสบนโลกแห่งความท้าทาย” โดยธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ (ธปท.สภน.) คุณพรวิภา ตั้งเจริญมั่นคง ผู้อำนวยการอาวุโส ธปท. สภน. นำเสนองานประมาณการเศรษฐกิจภาคเหนือในช่วง 2 ปี  โดยในปี พ.ศ. 2567 เศรษฐกิจภาคเหนือจะได้รับผลกระทบจากภาวะแห้งแล้ง ซึ่งเป็นผลมาจากปรากฏการณ์เอลนีโญซึ่งจะส่งผลให้ภาคการเกษตร โดยกลุ่มเกษตรกรที่เพาะปลูกข้าวนาปรัง อ้อยโรงงาน และมันสำปะหลัง จะได้รับผลกระทบจากภาวะแห้งแล้งในปีหน้านี้ ขณะที่รายได้เกษตรกรภาคเหนือ ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 2 ล้านครัวเรือน คาดว่าจะลดลงตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และจากการสำรวจข้อมูลล่าสุด แม้จะสวนทางกับภาคเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ แต่ด้วยภาคการเกษตรมีสัดส่วนทางเศรษฐกิจสูงถึงร้อยละ 23.7 จึงส่งผลให้เศรษฐกิจภูมิภาคในปีหน้าขยายตัวลดลงอยู่ที่ ร้อยละ 0.7 – 1.7 น้อยกว่าปีนี้ที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2-3  ในส่วนของภาคการท่องเที่ยว พบว่าจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ คาดว่าภายในปีหน้า จะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวน 32.9 […]

เปิดพื้นที่ความเท่าเทียมทางเพศ ดันเศรษฐกิจโตอีกล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ทุกคนก็ต้องได้รับสิทธิต่างๆอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะผู้หญิง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันสังคมและเศรษฐกิจมาโดยตลอด แต่จากสถิติล่าสุดกลับพบว่า สัดส่วนสตรีไทยในภาคเศรษฐกิจ กลับน้อยกว่าเพศชายอยู่ ภาครัฐและประชาสังคมจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ ในทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อการผลักดันและพัฒนาการเงินในอนาคต โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานว่า ในปี พ.ศ. 2564 ผู้หญิงไทยยังคงมีอัตราการมีงานทำต่อประชากร15 ปีขึ้นไป  ที่ต่ำกว่าแรงงานชายอยู่เหมือนเดิม นับย้อนหลังสถิติไป 5 ปี โดยผู้หญิงมีอัตราส่วนอยู่ที่ร้อยละ 58.3 ขณะที่ผู้ชายอยู่ที่ร้อยละ 74.3 โดยข้อมูลล่าสุดเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบันมีผู้หญิงที่ทำงานอยู่ในระบบเพียง498,096 คน น้อยกว่าผู้ชายซึ่งมีจำนวน 557,925 คน ที่ทำงานในระบบเช่นเดียวกัน นอจากนี้ ข้อมูลยังแสดงให้เห็นว่า แรงงานผู้หญิงไทยส่วนใหญ่ทำงานในภาคบริการ การเกษตร และภาคการผลิตตามลำดับ นอกจากนี้ จากการสำรวจยังพบว่า ผู้หญิงไทย ยังต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆที่กระทบต่อการทำงาน เช่นค่าตอบแทนที่ไม่เท่าเทียม สภาพแวดล้อมและความปลอดภัยในการทำงาน เพราะฉะนั้นแล้ว การสร้างความเท่าเทียมทางเพศ จึงเป็นเป้าหมายสำคัญของภาครัฐและภาคประชาสังคมไทย ซึ่งปัจจุบัน องค์การสหประชาชาติในประเทศไทย ได้ร่วมมือและสนับสนุนรัฐบาลไทย ในการดำเนินการตามกรอบความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน วาระปี พ.ศ. 2565 […]

จับตาผลกระทบ หลังยักษ์ใหญ่อสังหาฯจีน ยื่นล้มละลาย

ถือเป็นข่าวที่สั่นสะเทือนวงการเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก เมื่อ เอเวอร์แกรนด์ บริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจีน ได้ยื่นล้มละลายต่อศาลสหรัฐฯ แล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งการล้มละลายของยักษ์ใหญ่แห่งวงการบ้านและคอนโดแดนมังกร จะส่งผลกระทบอะไรบ้าง เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา สื่อมวลชนทั่วโลกรายงานว่า เอเวอร์แกรนด์ (Evergrande) ได้ยื่นขอการคุ้มครองกรณีล้มละลายในสหรัฐอเมริกา ตามกฎหมายสหรัฐฯ หมวดที่ 15 ต่อศาลนครนิวยอร์ก  หลังจากประสบกับปัญหาผิดนัดชำระหนี้ครั้งใหญ่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ปัจจุบันบริษัทดังกล่าวประสบปัญหาอย่างหนักในการจ่ายหนี้เงินกู้ของตัวเอง ที่พุ่งขึ้นราว 11.69 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศจีน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ สร้างความหวั่นวิตกต่อสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ที่จะส่งผลต่อการเงินจีนในขณะนี้ โดยภายหลังจากที่สื่อทั่วโลกรายงานข่าว ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียพากันปรับตัวลดลง อาทิดัชนีนิกเกอิของญี่ปุ่น ปรับตัวลดลง 60.79 จุด ดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกง ลดลง 205.73 จุด รวมทั้งดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ปรับลดลง5.62 จุด ทางด้านสำนักข่าว BBC ของอังกฤษ รายงานถึงผลกระทบต่อเนื่องทางการเงิน ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น ข่าวการล้มละลายของ เอเวอร์แกรนด์ ถือเป็นข่าวใหญ่ในแวดวงเศรษฐกิจโลก ที่หลายฝ่ายจับตามอง […]

ส.อ.ท.จี้รัฐบาลใหม่ เร่งแก้ปัญหาสินค้าจีนเกลื่อนตลาด

นอกจากภาวะการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่ส่งผลให้กำลังซื้อหดตัวแล้ว อีกประเด็นใหญ่ ที่ทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจโดยเฉพาะอุตสาหกรรม ต้องการให้เร่งแก้ไขโดยเร็ว คือปัญหาสินค้าจีนที่เข้ามาตีตลาดอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา โดยนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ได้เปิดเผยว่า ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานกลุ่มอุตสาหกรรม ส.อ.ท. ทั้ง 45 กลุ่ม ได้หารือร่วมกันถึงสถานการณ์การผลิตของภาคอุตสาหกรรมไทย และภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 โดยประธานกลุ่มอุตสาหกรรมทั้ง 45 กลุ่ม ต่างต้องการให้มีการจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็วภายในเดือนสิงหาคม – กันยายนนี้ เพื่อออกนโยบายบริหารประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจรวมถึงเร่งรัดเขตการค้าเสรีกับประเทศต่างๆโดยเร็ว นอกจากนี้ ปัญหาสำคัญที่กำลังกระทบกับ 20 กลุ่มอุตสาหกรรมอย่างรุนแรง คือปัญหาสินค้าจีนล้นทะลักเข้ามาในตลาดไทย โดยมีสาเหตุมาจากการค้าโลกที่ชะลอตัว ส่งผลให้ออเดอร์สินค้าจีนลดลง ผู้ประกอบการจีนจึงหาตลาดรองรับ รวมถึงในประเทศ ซึ่งยิ่งซ้ำเติมผู้ประกอบการไทยมากขึ้น เนื่องจากสินค้าจีนมีราคาถูก ปริมาณเยอะ และหลากหลาย ทำให้สินค้าไทยถูกแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด ซึ่งจากเดิม กลุ่มอุตสาหกรรมไทยได้รับผลกระทบ 5-6 กลุ่ม เช่นอุตสาหกรรมเหล็ก เมื่อสินค้าจีนเข้ามาในตลาดมากขึ้น ทำให้มีกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับความเดือดร้อน เพิ่มเป็น 20 กลุ่ม อาทิ อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมอะลูมิเนียม อุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมเม็ดพลาสติก อุตสาหกรรมเซรามิก […]

1 5 6 7 8 9 20