หนุนใช้รถยนต์ไฟฟ้า หวังลดใช้น้ำมัน

กระแสความนิยมยานยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% หรือ เรียกสั้นๆ ว่า รถ EV (Electric Vehicle) ในช่วงหลายปีมานี้ ถือว่ามีมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะรถEV เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างช่วยลดการเกิดฝุ่นpm 2.5 ช่วยลดการใช้พลังงานน้ำมัน และประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่รถยนต์ได้มากกว่าหากเทียบกับการใช้รถน้ำมัน

เช่นกันกับในไทยที่รถ EV ได้รับความสนใจมากขึ้น ดังที่สะท้อนมาจากงานบางกอก อินเตอร์ เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2022 หรือมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43 ที่ผ่านมา สาเหตุที่มีประชาชนสนใจรถEV อย่างมากนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากมาตรการของรัฐบาลที่อุดหนุนส่วนลด 18,000 – 150, 000 บาท/คัน

มาตรการรัฐบาล หนุนใช้-ผลิต รถEV

สำหรับมาตรการจากรัฐบาลที่สนับสนุนเงินให้ผู้ประกอบรถEV ทั้งนำเข้าจากต่างประเทศและผลิตในประเทศ นำไปเป็นส่วนลดให้ประชาชนที่สนใจซื้อรถ EV ทั้งรถยนต์และจักรยานยนต์ 18,000 – 150,000 บาท/คัน เป็นส่วนหนึ่งของหลายมาตรการที่รัฐบาลสนับสนุนให้มีการใช้และผลิตรถEV ในประเทศให้มากขึ้น โดยเมื่อวันที่14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี หรือ ครม.มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินงานส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า ตามที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ หรือ บอร์ด EV กระทรวงพลังงานเสนอ โดยสรุปได้แก่

1. เงินอุดหนุนรถยนต์ และรถกระบะคันละ 70,000-150,000 บาท/คัน และรถจักรยานยนต์ 18,000 บาท/คัน

2. ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์จาก 8 % เป็น 2 % และรถกระบะเป็น 0 %

3. ลดอากรขาเข้ารถยนต์ที่ผลิตต่างประเทศ และนำเข้าทั้งคัน (CBU) สูงสุด 40 % สำหรับรถยนต์ ถึงปี 2566

4. ยกเว้นอากรขาเข้าส่วนประกอบรถยนต์EV จำนวน 9 รายการ เพื่อนำมาผลิตหรือประกอบรถEV ในประเทศ (CKD) จำนวน 9 รายการ

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการหรือค่ายรถที่เข้าร่วมต้องรับเงื่อนไข ได้แก่ ผลิตรถEV ในประเทศชดเชยให้เท่ากับจำนวนที่นำเข้าช่วงปี 2565 – 2566 ภายในปี 2567 แต่ขยายเวลาได้ถึงปี 2568 โดยจะต้องผลิตในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 คือ นำเข้า 1 คัน จะต้องผลิตในประเทศ 1 คัน โดยผู้ใช้สิทธิ์จะผลิต BEV หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ รุ่นใดก็ได้เพื่อชดเชย ยกเว้นรถที่มีราคาขายปลีก 2-7 ล้านบาท ต้องผลิตรุ่นเดียวกับที่นำเข้ามา เป็นต้น ซึ่งขณะนี้มีค่ายรถจากจีน 3 ค่าย ลงนามร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสากิจเพื่อรับสิทธิประโยชน์จากการนำเข้าและผลิตรถยนต์ รวมทั้งจะได้รับเงินอุดหนุนส่วนลดจากภาครัฐไปเป็นส่วนลดให้ประชาชนที่สนใจซื้อรถEV ซึ่งในส่วนของเงินอุดหนุนส่วนลดปีนี้รัฐบาลอนุมัติให้ 3,000 ล้านบาท ขณะที่ค่ายรถจากญี่ปุ่นหลายค่ายอยู่ระหว่างพิจารณาเข้าร่วมโครงการ เช่นกับค่ายจากยุโรปหลายค่ายก็อยู่ระหว่างการพิจารณา แต่ทางกรมสรรพสามิต เห็นว่า หากรถEV จากค่ายยุโรป ทำราคาขายได้ต่ำกว่า 2 ล้านบาท ก็จะมีส่วนลดต่อคันสูงถึง 6-7 แสนบาท ดังนั้นเชื่อว่าค่ายรถทั้งหมดทั้งจากจีน ญี่ปุ่น ยุโรป กว่า 80% จะลงนามกับกรมสรรพสามิตได้หมดภายในปีนี้

นโยบาย 30@30 หนุนรถยนต์ไฟฟ้า มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

กลางปีที่ผ่านมา คณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ หรือ บอร์ด EV ได้ออกแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ตามนโยบาย 30@30 คือการตั้งเป้าผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี พ.ศ.2573 นโยบาย30@30 นี้จึงถือเป็นอีกหนึ่งกลไกที่จะนำไทยเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำในอนาคต บอร์ดEV จึงกำหนดแนวทางและมาตรการตามนโยบาย 30@30 ออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 (ระยะเร่งด่วน) : ปี 2564 – 2565

นำร่องส่งเสริมการใช้รถEv ซึ่งมาตรการของภาครัฐที่ออกมา ทั้งอุดหนุนส่วนลดซื้อรถEV 18,000 -150,000บาท/คัน และการลดภาษีนำเข้ารถและส่วนประกอบต่างๆ อยู่ในระยะนี้

ระยะที่ 2 : ปี 2566 – 2568

พัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายการผลิตรถ EV ประเภทรถยนต์นั่งและรถกระบะ 225,000 คัน รถจักรยานยนต์ 360,000 คัน และรถบัส/รถบรรทุก 18,000 คัน ภายในปี 2568 รวมถึงการผลิตแบตเตอรี่ เพื่อตอบสนองการผลิตในประเทศ ซึ่งมาตรการที่ออกมาแล้วโดยรัฐบาล ทั้งลดภาษีนำเข้าชิ้นส่วนรถ EV และกำหนดอัตราการนำเข้ารถทั้งคันต่อการผลิตในประเทศ 1.5 คัน ของผู้ประกอบการ ก็อยู่ในระยะนี้

ระยะที่ 3 : ปี 2569 – 2573

ขับเคลื่อนแผนและมาตรการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมเพื่อให้บรรลุตามนโยบาย 30/30 ซึ่งมีเป้าหมายการผลิตรถ EV ประเภทรถยนต์นั่งและรถกระบะทั้งสิ้น 725,000 คัน ประเภทรถจักรยานยนต์ 675,000 คัน คิดเป็น 30% ของการผลิตภายในปี ค.ศ. 2030 หรือ พ.ศ. 2573

ประโยชน์ที่คนไทยได้รับจากมาตรการหนุนใช้รถ E

ประโยชน์จากการใช้รถ EV และผลดีจากมาตรการส่งเสริมการใช้-การผลิต จากภาครัฐแล้ว เรียกได้ว่าได้ประโยชน์แก่คนทั่วไป ไม่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือเอื้อธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง ซึ่งพอจะจำแนกออกเป็นข้อๆได้ ดังนี้

1.ประชาชนที่พอมีกำลังซื้อ จะได้ใช้รถ EV ในราคาที่ถูกลงทั้งในขณะนี้และถูกลงอีกในอนาคต

2.ช่วยลดค่าเดินทาง เพราะรถ EV มีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ถูกกว่ารถที่ใช้น้ำมัน หากเทียบการใช้รถในระยะทางเท่ากัน

3. ลดการใช้น้ำมันที่นับวันจะแพงขึ้นและมีน้อยลง ข้อนี้เป็นผลดีต่อประชาชนโดยรวมทุกภาคส่วน เพราะหากใช้รถ EV พลังงานไฟฟ้ามาบรรทุกขนส่งสินค้าแทนรถน้ำมันได้มากขึ้นแล้ว ต้นทุนด้านการขนส่งสินค้าก็จะลดลง ส่งผลให้ประชาชนและผู้บริโภคทั่วไปได้ใช้สินค้าในราคาที่ถูกลงตามไปด้วย

4. รถEV เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นส่วนช่วยลดมลภาวะทางอากาศ จะช่วยทำให้คนไทยทุกคนได้อยู่ในสังคมที่มีสภาวะแวดล้อมดีขึ้น สะอาดขึ้น

5. เมื่อมีการตั้งฐานผลิตรถ EV ในไทยมากขึ้น ก็จะเกิดการจ้างงานคนไทยมากขึ้นด้วย ส่วนผู้ประกอบการหรือค่ายรถยนต์ ก็จะได้ผลิตรถ EV หรือดำเนินธุรกิจของตนเองภายใต้กฎกติกาและมาตรการที่อำนวยความสะดวกและเป็นธรรม ขณะที่ภาครัฐก็จะเก็บภาษีจากผู้ประกอบการได้มากขึ้นด้วย

ร่วมแสดงความคิดเห็น