กลุ่มชุมนุมชาวม่อนแจ่มเดือด ส่งตัวแทนป่าไม้ชี้จุดยืนยัน

กลุ่มชุมนุมชาวม่อนแจ่มเดือด ส่งตัวแทนป่าไม้ชี้จุดยืนยัน เดือดเจ้าหน้าที่ใช้แผนที่เก่าฟ้องคดีมั่วแปลง

ความคืบหน้าชาวบ้านม่อนแจ่ม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ที่รวมตัวนั่งขวางถนน ไม่ให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้ารื้อถอนรีสอร์ท 5 แห่ง ประกอบด้วย หลังสวนโฮมสเตย์ ม่อนดาวเรือง ม่อนดูดาว ม่อนแสงระวี และ แสงเหนือแคมปิ้ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้ระบุว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ เนื่องจากมีการใช้พื้นที่ผิดวัตถุประสงค์และมีการเปลี่ยนมือให้กับนายทุนหรือนอมินีเข้ามาประกอบกิจการแทน โดยสถานการณ์ตึงเครียดมีการเผชิญหน้า ชาวบ้านไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ใช้แผนที่ของโครงการหลวงที่มีข้อมูลไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ทำให้เจ้าหน้าที่ถอนกำลังออกไปในเวลา 11.30 น. เพื่อกลับไปนำแผนที่ข้อมูลมาอธิบายให้กลุ่มชาวบ้านได้เข้าใจ

ขณะที่ต่อมา เจ้าหน้าที่ป่าไม้กลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมด้วยตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ โดยนำแผนที่ข้อมูลของทั้ง 5 แปลงที่จะเข้ารื้อถอนมาอธิบายว่ามีการเปลี่ยนมือ ขณะที่ผู้ครอบครองได้ยืนยันว่าไม่มีการเปลี่ยนมือ แต่ยังคงเป็นมรดกตกทอดจากรุ่นปู่ย่าตายาย แต่แผนที่ข้อมูลที่เจ้าหน้าที่นำมาใช้เป็นแผนที่ของโครงการหลวงและมีรายชื่อเจ้าของแปลงที่ไม่ตรวจกับผู้ถือครองที่แท้จริง ซึ่งชาวบ้านยังคงยืนยันขอให้รอคำพิพากษาของศาลเท่านั้นและจะไม่ยอมให้รื้อถอนก่อนเด็ดขาด สถานการณ์เริ่มตึงเครียดอีกครั้ง ชาวบ้านเริ่มไม่พอใจหนักขึ้นจนกระทั่งมีการเจรจาขอตัวแทนป่าไม้ ปกครอง ตำรวจ และ สื่อมวลชนเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ ซึ่งชาวบ้านก็ได้ยินยอมและพาไปชี้จุดเพื่อแสดงความบริสุทธิ์

หนึ่งในจุดที่ชาวบ้านพาผู้สื่อข่าวและเจ้าหน้าที่ไปดู คือ ม่อนดาวเรือง ซึ่งนายชูชาติ พนมไพร ผู้ใหญ่บ้านหนองหอยใหม่และเป็นเจ้าของม่อนดาวเรือง บอกว่า ที่ดินผืนนี้ตกทอดมาตั้งแต่สมัยผู่ย่าตายาย ลูกหลานทำกินมาจนถึงปัจจุบัน แต่จู่ ๆ กลับถูกเจ้าหน้าที่มาแจ้งดำเนินคดีโดยบอกว่ามีการเปลี่ยขยนมือ โดยอ้างข้อมูลรายชื่อผู้ครอบครองจากแผนที่ของโครงการหลวงที่มีชื่อของนายซาวยึ พนาอมรไพร เป็นผู้ครอบครอง ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผิด ความจริงแล้วที่ดินแปลงนี้มีนายใหม่ สุขสกุลปัญญา ปู่ของเขาที่มีการสืบทอดมาจนถึงรุ่นปัจจุบันและไม่มีการเปลี่ยนมือ

ปัญหาที่เกิดขึ้นอยากหน่วยงานป่าไม้เข้ามาพิสูจน์สิทธิ์รังวัดที่ดินทุกแปลงให้ถูกต้องและให้ปฏิบัติตามมติ ครม.ปี 2542 ที่อนุโลมให้ชาวบ้านที่อยู่มาก่อนประกาศพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ริมในปี พ.ศ.2507 ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดิน และให้ชาวบ้านที่อาศัยในพื้นที่ป่าไม้ไปแจ้งการครอบครอง

ด้านนายชูชาติ ย้ำว่าชาวบ้านที่นี่อยู่มานานนับร้อยปี ก่อนที่จะประกาศเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ โดยอยู่ร่วมและดูแลรักษาป่ามาโดยตลอด แต่ปรากฏว่าในปี 2561 ทางป่าไม้กลับเริ่มแจ้งความดำเนินคดีกับชาวบ้านและนำข้อมูลที่ไม่ถูกต้องมาใช้ดำเนินคดี เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและเป็นการกลั่นแกล้งชาวบ้าน โดยหลังจากพาตัวแทนเข้าชี้แจงในพทื้นที่ เจ้าหน้าที่ได้ถอนกำลังกลับโดยไม่มีการรื้อถอน เพื่อลดการเผชิญหน้า โดยหลังจากนี้จะมีการประชุมหาแนวทางเข้าดำเนินการอีกครั้ง

ด้านนายมนตรี ปลูกปัญญา ผู้อำนวยการส่วนป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 ระบุว่า ในการดำเนินการรื้อถอน ก่อนหน้านี้ทางป่าไม้ให้สิทธิ์โต้แย้งอยู่แล้ว หากมีหลักฐานที่แสดงความเป็นเจ้าของก็นำมาชี้แจงได้ แต่ก็ไม่มีใครนำมาแสดงได้ เมื่อไม่มีการชี้แจ้งก็จะต้องดำเนินการทางปกครองด้วยการรื้อถอน เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการตามกฎหมาย แต่หลังจากนี้หากชาวบ้านมีหลักฐานต้องการนำมาแสดงหรือชี้แจงในเรื่องที่ระบุว่าผิดพลาด ก็สามารถนำมายื่นกับป่าไม้หรือกับทางศาลได้ ทั้งนี้ยืนยันว่าแปลงที่จะต้องรื้อถอนทำผิดกฎหมาย

ร่วมแสดงความคิดเห็น