แพทย์เตือนสายแคมป์ปิ้งเข้าป่ากางเต็นท์ ช่วงหน้าหนาว ระวังถูกตัวไรอ่อนกัด เสี่ยงป่วยไข้รากสาดใหญ่
วันที่ 12 ต.ค.65 รายงานข่าวแจ้งว่า สภาพอากาศในช่วงระยะเวลานี้ที่ใกล้เข้าสู่ฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงเวลาการท่องเที่ยวทางภาคเหนือ แพทย์เตือนสายแคมป์ปิ้งระวังไข้รากสาดใหญ่ โดย นพ.จตุชัย มณีรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ คาดว่าในช่วงปลายฝนต้นหนาวนี้ จะมีโอกาสพบผู้ป่วยโรคไข้รากสาดใหญ่เพิ่มขึ้น เนื่องจากช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลง ประชาชนมักเดินทางท่องเที่ยวตามป่าเขา และกางเต็นท์นอนเพื่อสัมผัสอากาศหนาว เสี่ยงติดเชื้อแบคทีเรีย Orientia tsutsugamushi (โอเรียนเทีย ซูซูกามูชิ) จากการถูกตัวไรอ่อนที่มีเชื้อกัด

จากการเฝ้าระวังของกลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ สถานการณ์ “โรคไข้รากสาดใหญ่” หรือ “โรคสครับไทฟัส” (Scrub typhus) ในปีนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 10 ตุลาคม 2565 มีรายงานพบผู้ป่วยโรคไข้รากสาดใหญ่จำนวน 652 ราย ยังไม่พบผู้เสียชีวิต


ตัวไรอ่อนมีขนาดเล็กมากและอาศัยอยู่ตามใบไม้ ใบหญ้าใกล้กับพื้นดินที่มีความชื้นแต่ไม่เปียกแฉะ จะเกาะติดไปตามเสื้อผ้าของคนและกัดผิวหนัง บริเวณที่มักถูกกัด คือ รักแร้ ขาหนีบ รอบเอว หลังถูกกัดประมาณ 10-12 วัน จะแสดงอาการ ปวดศีรษะ มีไข้ หนาวสั่น ไอ ตาแดง คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย มีผื่นแดงขนาดเล็กค่อยๆ นูนหรือใหญ่ขึ้น และอาจจะพบแผลคล้ายบุหรี่จี้ (Eschar) แต่จะไม่ปวดและไม่คัน ผู้ป่วยบางรายอาจหายได้เอง บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ได้แก่ ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองและสมองอักเสบ อาจทำให้เสียชีวิตได้
นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ แนะนำนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวตั้งแคมป์กางเต็นท์นอนในป่า หรือไปในพื้นที่เกษตรกรรม ควรสวมเสื้อผ้าให้มิดชิดหรือสวมเสื้อผ้าที่มีสารป้องกันแมลงและทายากันยุงซึ่งสามารถป้องกันตัวไรอ่อนกัดได้ นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในบริเวณที่มีตัวไรอ่อนชุกชุม ไม่ว่าจะเป็นป่าโปร่ง ป่าละเมาะ บริเวณที่มีการปลูกป่าใหม่หรือตั้งรกรากใหม่ ทุ่งหญ้า ชายป่าหรือบริเวณต้นไม้ใหญ่ที่แสงแดดส่องไม่ถึง รวมถึงพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการสัมผัสโรค
หลังออกจากพื้นที่เสี่ยงให้อาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย สระผม และนำเสื้อผ้าที่สวมใส่มาซักให้สะอาดด้วยผงซักฟอกเข้มข้น หากมีอาการไข้และอาการข้างต้น ภายใน 2 สัปดาห์ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติการเข้าป่าให้แพทย์ทราบ เพื่อรับการรักษาโดยเร็ว ป้องกันการเสียชีวิต สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422






ร่วมแสดงความคิดเห็น