ส่องแฟชั่นหญิงล้านนาในอดีตผ่าน “ทรงผม”

ในเกือบทุก ๆ วัฒนธรรมมักให้ความหมายและความสำคัญกับเส้นผมเป็นพิเศษ ทรงผมจึงไม่ใช่เรื่องของเสน่ห์ความงามเพียงอย่างเดียว แต่ยังเล่าถึงวิวัฒนาการ การแลกเปลี่ยนและรับอิทธิพลของวัฒนธรรมอื่นเข้ามากลมกลืนกับอัตลักษณ์ดั้งเดิมของตน โดยในอดีต ‘แม่ญิง’ หรือหญิงชาวล้านนามักนิยมไว้ผมยาวตั้งแต่วัยเด็กและไม่นิยมตัดผม ทำให้บางคนมีผมยาวจรดพื้น การ ‘เกล้า’ หรือ ‘มวยผม’ จึงเป็นวิธีการเก็บผมเพื่อความเรียบร้อย สวยงาม และสะดวกในการดูแลรักษาความสะอาด

มวยผมของหญิงชาวล้านนาจึงมีหลายแบบ แบบเรียบง่ายที่นิยมทำกันมากสุดคือการเอาผมยาวไปขมวดพันกันเป็นมวยค่อนไปทางท้ายทอย จากนั้นใช้หวีสับหรือปิ่นปักให้มวยผมอยู่ทรง นอกจากนี้ยังมีทรงอื่น ๆ ที่นิยมทำกันได้แก่

• ‘เกล้าผมวิดว้อง’

คือการเกล้ามวยสูงกลางศีรษะ โดยดึงผมปอยหนึ่งมาทำเป็น ‘ว้อง’ (คำว่า ‘ว้อง’ ภาษาเหนือหมายถึง วงหรือห่วง) กลางมวยผมดังที่เห็นในภาพเขียนโบราณตามจิตรกรรมฝาผนังวัด

เกล้าผมทรงวิดว้องของสตรีไทยลื้อ

• ‘เกล้าผมอั่วซ้อง’

หรือบางพื้นที่เรียกทรง ‘บ่มจ๊อง’ คือ การนำเอาผมปลอมปอยหนึ่ง (จ๊อง-ซ๊อง) ใส่เข้าไปในมวยผมเพื่อให้มีขนาดใหญ่ขึ้น

• ‘เกล้าผมอี่ปุ่น’

คือการเกล้าแบบสตรีญี่ปุ่นโบราณ เป็นทรงผมที่นิยมมากในสมัยพระราชชายาเจ้าดารารัศมี โดยเกล้าผมขึ้นโดยใช้หมอนรองโคนผมด้านหน้าเป็นกระบังยกสูงขึ้น ผมตรงท้ายทอยอาจดึงให้ตึงหรือโป่งแล้วแต่ความพอใจของผู้แต่ง เรียกว่าทรง ‘อี่ปุ่น’ ด้วยได้รับแบบแผนและต้นแบบมาจากประเทศญี่ปุ่น ต่อมาผมทรงนี้ได้รับความนิยมแพร่หลายในแวดวงสังคมชั้นสูงยุค Edwardian และแผ่อิทธิพลมาถึงราชสำนักไทยโดยภริยาทูตญี่ปุ่นในยุคสมัยนั้น ก่อนจะกลายเป็นผมทรงนิยมของแม่ญิงล้านนาบางทีเรียกว่า ‘ทรงผมพระราชชายาฯ’ เพราะพระราชชายาเจ้าดารารัศมีทรงเป็นผู้นำเข้ามาแพร่หลายในหัวเมืองฝ่ายเหนือ เมื่อคราวเสด็จกลับเชียงใหม่ในปี พ.ศ. ๒๔๕๗ และได้รับความนิยมกันแพร่หลาย โดยเฉพาะเมื่อมีการแต่งกายในโอกาสพิเศษ

หญิงชาวล้านนายังนิยมแซมมวยผมของตนด้วยดอกไม้ นอกจากเพิ่มความสวยงาม ความหอมน่าชื่นใจแล้ว ยังแฝงด้วยนัยแห่งการบูชาเป็นการบูชาขวัญแห่งตน บูชาเทวดาประจำกายที่สถิตเหนือเกล้า บูชาพระพุทธเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนสถานยามที่ได้เข้าไปกราบไหว้ โดยดอกไม้ที่นิยมนำมาแซมผมเพื่อการบูชามักเป็นดอกไม้มีกลิ่นหอม สีสุภาพ เช่น ดอกมะลิ ดอกกระดังงา ดอกจำปี-จำปา ดอกเก็ดถะหวา (พุดซ้อน) ดอกต๋าเหิน (มหาหงส์) ดอกเอื้อง (กล้วยไม้) ซึ่งมีกลิ่นหอม หรือช่อดอกไม้เงิน-ดอกไม้ทองที่เรียกว่า ‘ดอกไม้ไหว’ ส่วนดอกไม้ที่นำมาประดับเพื่อเพิ่มความสวยงามนั้นมักนิยมใช้ดอกเอื้องผึ้ง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ศูนย์มรดกเมืองเทศบาลนครเชียงใหม่-City Heritage Centre Chiang Mai Municipal https://www.facebook.com/chiangmaicityheritagecentre/posts/pfbid0BGwizDJ4DcV4jgurRMakSKze2Ebxy5f4WibGooTPT52PZ2EmTtqmrMFdU8fn7PYBl

ร่วมแสดงความคิดเห็น