วัดพระธาตุไฮสร้อย ประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าแห่งเมืองลอง

วัดพระธาตุไฮสร้อย ตั้งอยู่ในบ้านไฮสร้อย ตำบลปากกาง อำเภอลอง จังหวัดแพร่ เป็นวัดโบราณที่มีอายุยาวนานกว่า 700 ปี โดยมีความสำคัญในฐานะวัดหลวงกลางเวียงของเมืองลองในยุคแรก ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางศาสนาและการปกครองในยุคที่เมืองลองยังเป็นด่านหน้าสำคัญของอาณาจักรล้านนา ความเป็นมาของเมืองลองและวัดพระธาตุไฮสร้อยเมืองลองในอดีตถือเป็นศูนย์กลางการปกครองที่สำคัญ มีกำแพงดินสี่ชั้นและคูน้ำสามชั้นล้อมรอบ โดยทางทิศตะวันออกมีแม่น้ำยม และทิศใต้มีห้วยแม่ลองเป็นปราการธรรมชาติ ภายในเวียงลองแบ่งพื้นที่อย่างชัดเจน ได้แก่ หัวเวียง (ที่ตั้งของวัดหลวงหัวเวียงและโฮงไชยผีเมือง) กลางเวียง (วัดพระธาตุไฮสร้อย) และ หางเวียง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของประชาชน วัดพระธาตุไฮสร้อยถูกสร้างขึ้นโดย พญาสุรมาลัยยะ (เจ้าเมืองลองในยุคแรก) เพื่อเป็นพระมหาธาตุกลางเวียง สถานที่สำคัญของเวียงลอง ภายในวัดมีพระธาตุไฮสร้อยตั้งอยู่ใจกลางเขตพุทธาวาส โดยเชื่อมโยงกับความเชื่อดั้งเดิมผ่าน “ไม้ใจเมือง” หรือต้นไทรใหญ่ที่เป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณของชาวบ้าน ชื่อ “วัดไฮสร้อย” มาจากคำว่า “ไฮ” หมายถึงต้นไทร และ “สร้อย” หมายถึงรากไทรที่ย้อยลง บทบาทในช่วงสงครามล้านนา-อยุธยาในช่วงสงครามระหว่างล้านนากับอยุธยา (พ.ศ. 1994-2018) เมืองลองกลายเป็นเมืองด่านหน้าของล้านนา โดยมีพญาเป็กขะจา (หรือพญาหูหิ้น) เป็นเจ้าเมืองในขณะนั้น วัดพระธาตุไฮสร้อยได้รับการดูแลอย่างดีในฐานะศูนย์กลางศาสนาและจิตวิญญาณของชาวเมือง อย่างไรก็ตาม สงครามยืดเยื้อส่งผลให้เวียงลองได้รับความเสียหาย เมื่อพญาหัวเมืองแก้ว (ขุนนางล้านนา) เข้ามาปกครองเมืองลองในปี พ.ศ. 2020 […]

บ่อเกลือโบราณ ตำนานเกลือสินเธาว์กลางหุบเขาที่เก่าแก่กว่า 800 ปี

บ่อเกลือเมืองน่าน ตั้งอยู่ในอำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ของประเทศไทย ด้วยความเป็นบ่อน้ำเกลือธรรมชาติที่หายากและมีอายุยาวนานกว่า 800 ปี บ่อเกลือแห่งนี้ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงเรื่องราวของชาวล้านนาและแผ่นดินน่านมาตั้งแต่ยุคโบราณ ความสำคัญทางประวัติศาสตร์หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า บ่อเกลือในเมืองน่านมีความสำคัญมาตั้งแต่ช่วงพุทธศตวรรษที่ 20-21 โดยใน ตำนานพื้นเมืองน่าน ได้กล่าวถึงความต้องการครอบครองเกลือสินเธาว์จากบ่อเกลือเมืองน่านของพระเจ้าติโลกราช แห่งอาณาจักรล้านนา นอกจากนี้ยังมีบันทึกจาก เจมส์ แมคคาร์ธี หรือพระวิภาคภูวดล ซึ่งเป็นเจ้ากรมแผนที่ทหาร กล่าวถึงปริมาณการผลิตเกลือจากต้นน้ำของลำน้ำน่านว่าเป็นจำนวนมาก บ่อเกลือที่สำคัญที่สุดคือ “บ่อหลวง” ตั้งอยู่ในบ้านบ่อหลวง อำเภอบ่อเกลือ โดยแวดล้อมด้วยเทือกเขาผีปันน้ำและดอยภูคา บริเวณนี้เคยเป็นชุมชนที่มีการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 20-23 หลักฐานที่ยืนยันได้คือเศษเครื่องถ้วยล้านนา เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หมิง และจารึกศักราชที่พบในบริเวณวัดร้าง ซึ่งในปัจจุบันเป็นพื้นที่โรงพยาบาลบ่อเกลือ กรรมวิธีการผลิตเกลือแบบดั้งเดิมบ่อเกลือเมืองน่านยังคงรักษาวิถีการผลิตเกลือแบบดั้งเดิม ชาวบ้านจะเริ่มผลิตเกลือในช่วงออกพรรษาจนถึงเข้าพรรษา โดยหลีกเลี่ยงช่วงฤดูฝนเพราะน้ำเกลือธรรมชาติจะเจือจาง กระบวนการผลิตเริ่มจากการตักน้ำเกลือจากบ่อด้วยวิธีคานน้ำหนัก เพื่อนำน้ำเกลือไปต้มในโรงต้มเกลือที่มีเตาคู่ หลังจากต้มเกลือประมาณ 4 ชั่วโมง เกลือจะตกผลึก ซึ่งจะใช้ไม้พายตักเกลือใส่ตะกร้าไม้ไผ่ที่เรียกว่า “ส่า” จากนั้นนำไปแขวนเพื่อให้น้ำเกลือส่วนเกินระเหยจนหมด ความอัศจรรย์ของบ่อเกลือบนภูเขาหนึ่งในคำถามที่น่าสนใจคือ เหตุใดบนภูเขาจึงมีบ่อเกลือ? จากการศึกษาทางธรณีวิทยาพบว่าบริเวณนี้เคยเป็นทะเลโบราณในยุคเพอร์เมียน (Permian) ซึ่งมีการตกตะกอนของน้ำทะเลเมื่อกว่า 250 ล้านปีที่แล้ว บ่อเกลือในปัจจุบันจึงเป็นผลจากชั้นเกลือหินใต้ดินที่น้ำเค็มธรรมชาติผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง พิธีกรรมและการอนุรักษ์ก่อนเริ่มการผลิตเกลือ ชาวบ้านจะทำพิธีเลี้ยงผีเมืองและเจ้ารักษาบ่อเกลือ หรือ […]

“แห่ครัวตาน” ประเพณีแห่งศรัทธาและความสามัคคีของชาวล้านนา

“ครัวตาน” เอกลักษณ์วัฒนธรรมล้านนาคำว่า “ครัว” ในภาษาถิ่นล้านนา หมายถึง วัตถุ สิ่งของ หรือเครื่องใช้ ส่วนคำว่า “ตาน” (ทาน) หมายถึง การถวายหรือการให้ เมื่อรวมกันแล้ว “ครัวตาน” จึงหมายถึง เครื่องไทยทาน หรือสิ่งของที่จัดเตรียมเพื่อนำไปถวายเป็นทานในงานบุญต่าง ๆ โดยชาวล้านนามักเรียกสิ่งของที่ตกแต่งอย่างงดงามเหล่านี้ว่า “ต้น” หรือ “ต้นครัวทาน” ต้นกำเนิดประเพณี “แห่ครัวตาน”ประเพณีแห่ครัวตานเป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ที่สะท้อนถึงความศรัทธาและความร่วมมือของชาวล้านนา งานแห่ครัวตานจะจัดขึ้นเนื่องในโอกาสสำคัญของหมู่บ้าน เช่น งานตานสลากภัต งานฉลองโบสถ์ วิหาร หรือศาลา รวมถึงการถวายถาวรวัตถุที่เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและชุมชน การจัดครัวตานเริ่มต้นจากการรวบรวมสิ่งของ เครื่องใช้ เครื่องบริโภค และจตุปัจจัยไทยทาน จากนั้นชาวบ้านจะร่วมมือกันตกแต่งสิ่งของเหล่านั้นให้เป็นพุ่ม หรือรูปทรงต่าง ๆ เช่น พุ่มดอกไม้ รูปสัตว์หิมพานต์ รูปโบราณสถาน หรือรูปต้นกัลปพฤกษ์ เมื่อเสร็จแล้วจึงนำต้นครัวตานไปถวายวัด ในการแห่ครัวตาน ขบวนจะมีความงดงามและคึกคัก ชาวบ้านจะจัดรูปขบวนอย่างประณีต มีป้ายชื่อหมู่บ้าน ขบวนฆ้องกลอง หรือกลองยาว บางครั้งมีช่างฟ้อนรำนำขบวนไปด้วย ครัวตานที่จัดตกแต่งนั้นจะถูกแห่ไปยังวัด พร้อมกับเสียงดนตรีพื้นบ้านที่สร้างบรรยากาศแห่งความรื่นเริง เมื่อขบวนครัวตานมาถึงวัด […]

“สะพานซูตองเป้” ศรัทธาและพลังความสามัคคีบนผืนแผ่นดินแม่ฮ่องสอน

“สะพานไม้ซูตองเป้” ชื่อนี้อาจจะเป็นที่คุ้นหูของใครหลายๆ คน คำว่าซูตองเป้เป็นภาษาไทยใหญ่แปลว่าอธิษฐานสำเร็จ หรือบางคนก็บอกว่าแปลว่า ความสำเร็จสะพานซูตองเป้ สถานที่ท่องเที่ยวที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งศรัทธาและความร่วมมือของชุมชนในจังหวัดแม่ฮ่องสอน สะพานไม้ไผ่ที่ทอดตัวยาวข้ามทุ่งนาและเชื่อมโยงวิถีชีวิตระหว่างพระพุทธศาสนาและชาวบ้าน สะพานแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นเส้นทางสัญจรเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและความงดงามของวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ยังคงอยู่ตราบจนทุกวันนี้ จุดเริ่มต้นของสะพานแห่งศรัทธาสะพานซูตองเป้ถูกสร้างขึ้นจากความร่วมมือของพระภิกษุสงฆ์และชาวบ้านในหมู่บ้านกุงไม้สัก เพื่อเป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างหมู่บ้านกับสวนธรรมภูสมะ ซึ่งเป็นสถานปฏิบัติธรรมอันเงียบสงบ โดยชาวบ้านได้สานไม้ไผ่เป็นแผ่นขนาดใหญ่และนำมาวางเรียงกันจนกลายเป็นสะพานยาว 500 เมตร มีความกว้าง 2 เมตร ทอดข้ามทุ่งนาที่เจ้าของที่ดินอุทิศถวายให้แก่วัด สะพานแห่งนี้เป็นผลผลิตจากพลังแห่งศรัทธา ความสามัคคี และความเสียสละที่ชาวบ้านและพระสงฆ์มีต่อกัน นับตั้งแต่สะพานซูตองเป้สร้างเสร็จ มันไม่ได้เป็นเพียงทางเดินที่ใช้สัญจรไปมาระหว่างหมู่บ้านและวัด แต่ยังกลายเป็นสะพานที่เชื่อมโยงจิตใจของผู้คนในชุมชน สร้างความใกล้ชิดระหว่างชาวบ้านและพระพุทธศาสนา สะพานซูตองเป้ ความงามที่ตราตรึงใจในทุกช่วงเวลาสะพานซูตองเป้มีความงดงามเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะในช่วงเช้าตรู่ เมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าจากยอดเจดีย์ในสวนธรรมภูสมะ แสงอาทิตย์สีทองจะสาดลงมาบนสะพานไม้ไผ่ ท่ามกลางสายหมอกบาง ๆ ที่ลอยปกคลุมทั่วบริเวณ สะพานที่อาบไปด้วยแสงสีทองตัดกับสีเขียวสดใสของทุ่งนาโดยรอบ สร้างภาพทิวทัศน์ที่สวยงามราวกับภาพวาด นักท่องเที่ยวที่มาเยือนสะพานซูตองเป้ในยามเช้าจะได้สัมผัสกับความเงียบสงบและบรรยากาศที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ การเดินเล่นบนสะพานท่ามกลางสายลมที่พัดโชยเบา ๆ พร้อมชมทิวทัศน์รอบด้าน ทำให้สะพานแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ที่หลายคนหลงรักตั้งแต่แรกพบ พิธีตักบาตรวิถีชีวิตแห่งศรัทธาบนสะพานไม้ไผ่กิจกรรมที่เป็นไฮไลต์ของสะพานซูตองเป้ คือการใส่บาตรในช่วงเช้าตรู่ ทุกวันเวลาประมาณ 06.00 น. พระภิกษุสงฆ์จากสวนธรรมภูสมะจะเดินบิณฑบาตข้ามสะพานมาสู่หมู่บ้านกุงไม้สัก ระหว่างเส้นทางบนสะพาน ชาวบ้านจะตั้งแถวเพื่อใส่บาตรให้พระสงฆ์ในบรรยากาศที่เงียบสงบและเปี่ยมไปด้วยศรัทธา ภาพของชาวบ้านในชุดพื้นเมืองที่นั่งเรียงรายบนสะพานไม้ไผ่ พร้อมอาหารและดอกไม้ในมือ เพื่อรอใส่บาตรแก่พระสงฆ์ กลายเป็นภาพที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมอันงดงามของชุมชน อีกทั้งยังเป็นภาพที่หาชมได้ยาก เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสะพานแห่งนี้ […]

ประเพณีกินวอปีใหม่ลาหู่ วิถีวัฒนธรรมแห่งขุนเขาที่งดงาม

ประเพณี “เขาะเจ๊าเว” หรือที่เรียกกันว่า “ปีใหม่การกินวอ” ของชาวลาหู่ เป็นหนึ่งในงานเฉลิมฉลองที่สะท้อนวิถีชีวิตและความเชื่อของชนเผ่าที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น โดยชาวลาหู่ ซึ่งในอดีตมักถูกเรียกขานว่า “มูเซอ” มีการเฉลิมฉลองปีใหม่ที่แสดงออกถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันน่าทึ่ง งานดังกล่าวเปรียบเสมือนโอกาสสำคัญที่สมาชิกในครอบครัวและหมู่บ้าน จะได้กลับมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง เพื่อร่วมกันเฉลิมฉลองหลังเสร็จสิ้นฤดูเก็บเกี่ยว ประเพณีที่ผูกพันกับวิถีชีวิต การกำหนดวันเฉลิมฉลองปีใหม่ของชาวลาหู่ ไม่มีวันที่แน่นอน แต่จะขึ้นอยู่กับความพร้อมของสมาชิกในหมู่บ้าน หลังจากทุกคนเสร็จสิ้นภารกิจการทำไร่ทำสวน และเมื่อพืชผลเก็บเกี่ยวเสร็จเรียบร้อย แต่ละหมู่บ้านอาจจัดงานในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ทั้งนี้ การกลับมารวมตัวกันของผู้คนจากทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ทำงานหรือเรียนหนังสืออยู่ไกลแสนไกล ยังคงเป็นธรรมเนียมสำคัญของเทศกาลนี้ พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์และอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ การเฉลิมฉลองเริ่มต้นด้วยพิธีบูชาเทพเจ้า “อื่อซา” ผู้เป็นที่เคารพบูชาในความเชื่อของชาวลาหู่ การฆ่าหมูดำเป็นส่วนสำคัญในพิธี โดยเนื้อหมูและหัวหมูจะถูกนำไปเซ่นสังเวยเทพเจ้า พร้อมกับ “อ่อผุ” หรือที่บางแห่งเรียกว่า “ข้าวปุ๊ก” ซึ่งทำจากข้าวเหนียวตำจนเหนียว แล้วปั้นเป็นก้อนกลม พิธีกรรมนี้สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การฉลองที่ยาวนานถึง 12 วันเทศกาลปีใหม่ของลาหู่มีระยะเวลาฉลองทั้งหมด 12 วัน โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ กิจกรรมรื่นเริงและการละเล่น ช่วงกลางวัน ผู้ชายจะเล่นขว้างลูกข่าง ส่วนผู้หญิงจะสนุกกับการเล่นสะบ้าและโยนลูกบอลที่ทำจากผ้า ส่วนในเวลากลางคืน จะมีการเต้นรำที่เรียกว่า […]

“แอ่วสาว” ศิลปะการเกี้ยวพาราสีที่เลือนหายไปกับกาลเวลา

ในอดีตอันงดงามของชาวล้านนา การเกี้ยวพาราสีหรือการ “แอ่วสาว” ถือเป็นประเพณีที่สะท้อนถึงความงดงามทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ทว่าลึกซึ้ง การแอ่วสาวไม่ได้เป็นเพียงการพูดคุยหรือเกี้ยวพาราสีธรรมดา แต่เต็มไปด้วยศิลปะการใช้ถ้อยคำที่ละเมียดละไม เต็มไปด้วยโวหารกวีและการสนทนาอันสร้างสรรค์ จากงานเก็บเกี่ยวสู่ยามค่ำคืนแห่งความหวาน เมื่อฤดูกาลเก็บเกี่ยวผ่านพ้นไป หนุ่มสาวชาวล้านนาต่างถือโอกาสในช่วงค่ำคืนว่างเว้นจากงานหนัก ออกมาเติมเต็มชีวิตด้วยการพบปะพูดคุย โดยเฉพาะหนุ่มๆ ที่เรียกว่า “บ่าว” จะจับกลุ่มเดินทางไปยังหมู่บ้านอื่น ถือเครื่องดนตรีพื้นเมืองอย่างสะล้อ ซอ ซึง หรือขลุ่ยติดตัว และใช้คำพูดเชิงกวี หรือที่เรียกว่า “คำอู้สาว” เพื่อเกี้ยวพาราสีกับหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน การสนทนาในบรรยากาศแสนโรแมนติก สาวๆ หลังเสร็จสิ้นงานในช่วงกลางวัน จะอาบน้ำ แต่งตัว และหางานเบาๆ เช่น ปั่นฝ้าย ปักผ้า มานั่งทำที่หน้าบ้าน รอรับหนุ่มๆ ที่จะมาเยี่ยมเยือน หากหนุ่มคนใดมาแล้วถูกใจ สาวๆ จะต้อนรับด้วยความสุภาพ พร้อมสนทนาโต้ตอบในเชิงกวี เช่นหนุ่ม : “อี่นายนาฏน้อง อ้ายมาแอ่วหา จักเติ้กก่อจา ขึ้นไปนั่งอู้”(น้องหญิง พี่มาเยี่ยม จะเป็นการขัดขวางหรือไม่ หากพี่ขอขึ้นเรือนคุยด้วย) สาว : “ขึ้นมาเต๊อะ บ่ถ้ากลั๋วใผ บ่มีคนใด มาแอ่วหาข้า”(ขึ้นมาเถิดจ้ะ […]

“ฟ้อนเล็บ” ศิลปะอันอ่อนช้อย สะท้อนเอกลักษณ์วัฒนธรรมเหนือไทย

ฟ้อนเล็บ ศิลปะการแสดงพื้นเมืองของชาวล้านนา เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญที่สะท้อนเอกลักษณ์และความงดงามของวัฒนธรรมไทยภาคเหนือได้อย่างโดดเด่น ท่วงท่าการฟ้อนอันอ่อนช้อยและการแต่งกายที่สวยงามแสดงถึงความประณีตและจิตวิญญาณที่สงบเยือกเย็นของผู้คนในภูมิภาคนี้ ต้นกำเนิดฟ้อนเล็บจากราชสำนักสู่สาธารณชน ฟ้อนเล็บ มีประวัติยาวนาน เริ่มต้นจากการแสดงเฉพาะในคุ้มเจ้าหลวงหรือพระราชฐานในอดีต ผู้ฟ้อนส่วนใหญ่มักเป็นเจ้านายฝ่ายในที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี โดยเฉพาะในยุคพระราชชายาเจ้าดารารัศมี พระชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้ทรงส่งเสริมการฟ้อนชนิดนี้ให้แพร่หลายยิ่งขึ้น ช่วงหนึ่งที่การฟ้อนเล็บได้รับความนิยมอย่างสูงคือในปี พ.ศ. 2469 เมื่อพระราชชายาเจ้าดารารัศมีทรงจัดการแสดงฟ้อนเล็บถวายรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ในโอกาสที่พระองค์เสด็จประพาสภาคเหนือ การแสดงครั้งนั้นทำให้ฟ้อนเล็บกลายเป็นที่รู้จักและยอมรับในวงกว้าง ต่อมาในปี พ.ศ. 2470 ฟ้อนเล็บได้เผยแพร่สู่กรุงเทพฯ ในงานสมโภชพระเศวตคชเดชน์ดิลกฯ ช้างเผือกในรัชกาลที่ 7 ความเปลี่ยนแปลงและการฟื้นฟู หลังยุคเจ้าผู้ครองนคร การฟ้อนเล็บเริ่มลดความนิยมลง แต่ได้รับการฟื้นฟูอีกครั้งในปี พ.ศ. 2503 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) เสด็จประพาสจังหวัดเชียงใหม่ การฟ้อนเล็บจึงกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของงานต้อนรับพระราชอาคันตุกะและการแสดงวัฒนธรรมที่สำคัญ ลักษณะการแสดงและการแต่งกาย ฟ้อนเล็บเป็นการแสดงที่เน้นท่วงท่าฟ้อนอันอ่อนช้อย พร้อมการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์แบบชาวเหนือ ผู้ฟ้อนสวมเล็บยาวทองเหลืองทั้งแปดนิ้ว ยกเว้นนิ้วหัวแม่มือ เสื้อผ้าของผู้แสดงจะเป็นเสื้อคอกลมแขนยาวและนุ่งผ้าซิ่นมีเชิงลายขวาง พร้อมสไบเฉียง หญิงสาวจะเกล้าผมมวยสูง ทัดดอกไม้และห้อยอุบะ เสริมความงามให้ดูสง่า โอกาสในการแสดงและเพลงประกอบ ในอดีต ฟ้อนเล็บมักแสดงในงานฉลองสมโภช เช่น งานฉลองวัด […]

“ประเพณีแห่ไม้ค้ำสะหลี” สืบทอดศรัทธาแห่งพระพุทธศาสนา

ในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี โดยเฉพาะหลังเทศกาลสงกรานต์ จังหวัดเชียงใหม่ จะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อชาวบ้านในอำเภอจอมทอง ร่วมใจกันจัดงาน “แห่ไม้ค้ำสะหลี” หรือ “แห่ไม้ค้ำโพธิ์” ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ที่มีอายุยาวนานกว่า 200 ปี สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นจนกลายเป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรม ที่สะท้อนถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง จุดเริ่มต้นของประเพณีแห่ไม้ค้ำสะหลี “ไม้ค้ำสะหลี” หรือ “ไม้ค้ำโพธิ์” คือท่อนไม้ง่ามที่ปลายมีลักษณะคล้ายค้ำยัน ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยการทาสีหรือประดับกระดาษเงินกระดาษทอง คำว่า “สะหลี” มาจากภาษาล้านนา หมายถึง ต้นศรีมหาโพธิ์ ซึ่งเป็นต้นไม้สำคัญในพุทธประวัติที่พระพุทธเจ้าประทับตรัสรู้ ตามตำนานเล่าว่า ในปี พ.ศ. 2314 สมัยที่ ครูบาปุ๊ด หรือ ครูบาพุทธิมาวังโส เป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร เกิดพายุใหญ่พัดกิ่งต้นสะหลีในวัดจนหักลงมา ครูบาปุ๊ดได้เข้าจำวัดและเกิดนิมิตว่า เหตุอาเพศครั้งนี้เกิดจากการที่ท่านและชาวบ้าน ยังไม่ได้ตั้งจิตปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด เพื่อตั้งจิตอุทิศบุญกุศล ครูบาปุ๊ดจึงนำชาวบ้านตัดไม้ง่ามมาช่วยกันค้ำกิ่งต้นโพธิ์เพื่อป้องกันลมพัดโค่น นับแต่นั้นมา ทุกเดือนเมษายนหลังเทศกาลสงกรานต์ จึงมีการจัด พิธีแห่ไม้ค้ำสะหลี เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและสืบชะตาให้กับชาวบ้าน ซึ่งประเพณีดังกล่าวได้สืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน “ไม้ค้ำสะหลี” สัญลักษณ์แห่งความศรัทธาและความเป็นสิริมงคล ไม้ค้ำสะหลีไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือป้องกันกิ่งโพธิ์ไม่ให้ล้ม แต่ยังมีความหมายเชิงสัญลักษณ์อันลึกซึ้งต่อพระพุทธศาสนา การค้ำยันต้นโพธิ์สะท้อนถึงการช่วยค้ำจุนศาสนาให้ดำรงอยู่ยาวนาน ชาวล้านนาเชื่อว่าผู้ที่ถวายไม้ค้ำสะหลี จะได้รับผลบุญอันมหาศาล เสริมความมั่นคงให้ดวงชะตา […]

“ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง” สืบสานประเพณีสงกรานต์มรดกวัฒนธรรมคู่แผ่นดิน

ประเพณีปีใหม่ไทย หรือที่เรียกกันอย่างคุ้นเคยว่า “สงกรานต์” เป็นช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนผ่านที่สำคัญของชาวไทยและชาวล้านนา สงกรานต์ในอดีตเป็นที่รู้จักในนาม “ปี๋ใหม่เมือง” ซึ่งหมายถึงการเริ่มต้นศักราชใหม่ตามปฏิทินสุริยคติ โดยคำว่า “สงกรานต์” มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า “การเคลื่อนย้าย” อันหมายถึงการเคลื่อนย้ายของดวงอาทิตย์จากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ นับเป็นช่วงเวลาที่คนโบราณถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับการเริ่มต้นสิ่งใหม่ที่เป็นมงคล ในอดีต ปีใหม่ไทยถูกกำหนดให้ตรงกับวันที่ 13-15 เมษายน ก่อนที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม จะเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม ตามหลักสากลในปี พ.ศ. 2484 อย่างไรก็ตาม ประเพณีสงกรานต์ยังคงได้รับการสืบสานในฐานะมรดกวัฒนธรรมอันล้ำค่า โดยเฉพาะในภาคเหนือที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์และความหมายดั้งเดิมไว้ในทุกขั้นตอน ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง ความเชื่อและกิจกรรมสำคัญ มรดกวัฒนธรรมที่ยังยืนยง แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป แต่ประเพณีสงกรานต์ของชาวล้านนายังคงสะท้อนถึงความเชื่อ ความศรัทธา และความสัมพันธ์ในชุมชน การดำหัวผู้ใหญ่ การทำบุญตานขันข้าว และการประดับตุงล้วนเป็นสัญลักษณ์ของการเคารพธรรมชาติ ผู้ใหญ่ และบรรพบุรุษ เทศกาลป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง จึงไม่เพียงเป็นวันเฉลิมฉลอง แต่ยังเป็นเครื่องหมายแห่งการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่า และเป็นความทรงจำอันยิ่งใหญ่ที่เชื่อมโยงคนล้านนาเข้ากับรากเหง้าแห่งภูมิปัญญาดั้งเดิมที่งดงามตลอดกาล ที่มา : https://accl.cmu.ac.th/Knowledge/details/2630 , https://www.finearts.go.th/promotion/view/34615-%E0%B8%9B%E0%B9%8B%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B9%8B%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87 รูปภาพจาก : https://www.chiangmainews.co.th/social/3270938/

จากวิถีดั้งเดิมสู่ความร่วมสมัย เรื่องราวเสื่อกกเชียงราย

“เสื่อกก” เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์หัตถกรรมที่สะท้อนถึงภูมิปัญญาอันล้ำค่าของคนไทยในท้องถิ่นต่าง ๆ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย ที่มีการสืบทอดการทอเสื่อกกมาอย่างยาวนาน เสื่อกกของเชียงรายไม่ได้เป็นเพียงของใช้ในครัวเรือน แต่ยังสะท้อนถึงวัฒนธรรม วิถีชีวิต และภูมิปัญญาชาวล้านนา ที่นำเอาทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่นมาแปรรูปให้เกิดประโยชน์สูงสุด วัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณ์ของเชียงราย ต้นกกในพื้นที่เชียงรายมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากภูมิภาคอื่น เนื่องจากขึ้นตามลุ่มน้ำและพื้นที่ชุ่มน้ำของจังหวัด โดยเฉพาะในบริเวณที่มีดินอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านได้นำต้นกกเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ ผ่านกระบวนการเก็บเกี่ยว ตากแห้ง และย้อมสี ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการทอเป็นเสื่อที่มีคุณภาพ ในอดีต เสื่อกกของเชียงรายจะใช้ต้นกกธรรมชาติที่ไม่ได้ย้อมสี และเน้นลวดลายเรียบง่ายที่สะท้อนถึงความสงบงามแบบล้านนา เช่น ลายเส้นตรง ลายตาราง หรือรูปทรงเรขาคณิต ต่อมา ชาวบ้านได้พัฒนาลวดลายให้ซับซ้อนและสวยงามยิ่งขึ้น เช่น ลายดอกไม้ล้านนา ลายกนก และลายประยุกต์ที่ดึงดูดใจผู้ซื้อ การผลิตเสื่อกกเชียงราย จากใช้ในบ้านสู่สินค้าส่งออก ในอดีต ชาวบ้านในพื้นที่เชียงรายส่วนใหญ่จะทอเสื่อกกไว้ใช้ในครัวเรือน เช่น ปูนอน ปูพื้นรับแขก หรือใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา เช่น การถวายในวัด หรือปูลาดในศาลาวัด แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป เสื่อกกได้กลายเป็นสินค้าหัตถกรรมที่สร้างรายได้ให้กับชุมชน ปัจจุบัน กลุ่มชาวบ้านในเชียงรายได้จัดตั้งกลุ่มอาชีพทอเสื่อกก เพื่อผลิตสินค้าทั้งแบบดั้งเดิมและแบบประยุกต์ เช่น กระเป๋า ตะกร้า กล่องเก็บของ และของใช้ในบ้าน นอกจากจะช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนแล้ว ยังช่วยเผยแพร่ภูมิปัญญาไทยสู่ตลาดต่างประเทศ […]

“กลองหลวง” เสียงสะท้อนแห่งศรัทธาและวัฒนธรรมล้านนา

กลองหลวง หรือที่รู้จักในอีกชื่อว่า “กลองห้ามมาร” ถือเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาวล้านนา โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดลำพูนและเชียงใหม่ กลองชนิดนี้มีขนาดใหญ่และยาวมากจนกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในกลองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ต้นกำเนิดและความสำคัญทางวัฒนธรรมกลองหลวงเริ่มเป็นที่นิยมในกลุ่มชาว “ไทยอง” ที่อาศัยอยู่บริเวณสองฝั่งแม่น้ำปิงในจังหวัดลำพูนและเชียงใหม่ โดยเฉพาะในอำเภอป่าซาง อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน และอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เดิมทีถูกใช้ในงานบุญสำคัญ เช่น งานสมโภชพระธาตุ งานปอยหลวง หรือการแห่ครัวทาน กลองหลวงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดนตรี หากยังเปรียบเสมือนตัวแทนของความศรัทธาและพลังชุมชน หนึ่งในความเชื่อเกี่ยวกับกลองหลวงคือเสียงของมันสามารถขับไล่มารและป้องกันความวุ่นวายในงานบุญ นอกจากนี้ ยังมีประเพณีนิมนต์พระอุปคุต ซึ่งเชื่อว่าเป็นพระเถระผู้มีฤทธิ์ในการปราบมารมาเข้าร่วมในงานพิธี พร้อมทั้งมีการตั้งหออุปคุตเพื่อปกปักรักษาความสงบของงาน พัฒนาการของกลองหลวงจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ กลองหลวงปรากฏครั้งแรกเมื่อประมาณ 80 ปีที่ผ่านมา โดยช่างชาวบ้านชื่อหนานหลวง จากตำบลแม่ก๊า อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ เขาได้สร้างกลองหน้ากว้าง 20 นิ้ว และยาว 140 นิ้ว (7 ศอก) เพื่อถวายวัดฉางข้าวน้อยเหนือในอำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ในเวลาต่อมา ชาวบ้านได้พัฒนากลองให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยเพิ่มหน้ากลองเป็น 22 นิ้ว 24 นิ้ว และใหญ่ที่สุดถึง 28 นิ้ว ยาว […]

“ร่มบ่อสร้าง” มรดกหัตถศิลป์แห่งสันกำแพง สู่ความงามระดับโลก

“ร่มบ่อสร้าง” สัญลักษณ์แห่งงานหัตถกรรมพื้นบ้านที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น กลายเป็นมรดกสำคัญที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดเชียงใหม่และประเทศไทยมาหลายทศวรรษ ความเป็นมาของร่มบ่อสร้างและ “เทศกาลร่มบ่อสร้าง” ที่จัดขึ้นทุกปีในเดือนมกราคม ณ บ้านบ่อสร้าง อำเภอสันกำแพง เป็นเรื่องราวที่น่าศึกษาและเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจของชาวบ้านท้องถิ่น จุดเริ่มต้นของงานหัตถศิลป์ ในอดีต บ้านบ่อสร้างเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติแบบชนบท ประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น การทำไร่ ทำนา และทำสวน อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาว่างหลังจากฤดูเพาะปลูก ชาวบ้านได้เริ่มผลิตร่มจากวัสดุพื้นบ้านอย่าง “กระดาษสา” ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น โดยในระยะแรก ร่มที่ผลิตขึ้นมีเพียงสีพื้น เช่น สีแดงและสีดำ กำเนิดเทศกาลร่มบ่อสร้าง เมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา “ท่านอินศวร ไชยซาววงศ์” พ่อค้าท้องถิ่นผู้มองเห็นถึงศักยภาพในงานฝีมือของชาวบ้าน ได้ริเริ่มจัด “เทศกาลร่มบ่อสร้าง” ขึ้นครั้งแรก เพื่อส่งเสริมให้ร่มบ่อสร้างกลายเป็นสินค้าพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงระดับประเทศและดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยงานจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีในเดือนมกราคมที่ศูนย์หัตถกรรมร่มบ่อสร้าง มีกิจกรรมหลากหลาย เช่น การแสดงวัฒนธรรม ขบวนแห่ การประกวดต่างๆ และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์พื้นเมือง ความงามที่เล่าผ่านลวดลาย การเขียนลวดลายบนร่มบ่อสร้างเพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา และได้กลายเป็นจุดเด่นสำคัญที่ทำให้ร่มบ่อสร้างแตกต่างจากร่มทั่วไป ลวดลายที่วาดบนร่มมีหลากหลายประเภท เช่น ลายดอกไม้ ลายสัตว์ และลายวิวทิวทัศน์ ช่างวาดลวดลายส่วนใหญ่ไม่ได้ผ่านการศึกษาในสถาบันศิลปะ […]

1 2 3 4 5 6 9