เตือนภัยรถเช่าตบทรัพย์ อ้างมีรอยขูดเรียกเงิน

โลกโซเชียลแห่แชร์เรื่องราว บริษัทให้เช่ารถยนต์แห่งหนึ่งในเชียงใหม่ตบทรัพย์ลูกค้า หากไม่ยินยอมจ่ายเจอหมายศาลถูกฟ้อง โดยระบุว่า

ขอมอบเรื่องยาววววววมากกกกกก นี้เพื่อเป็นข้อเตือนใจเพื่อนๆเวลาไปเช่ารถจากผู้ให้บริการต่างๆ…เรื่องนี้ลุงพบเจอด้วยตัวเองและไปขึ้นศาลมาเรียบร้อย

เมื่อเดือน มี.ค.65 ลุงไปเที่ยวเชียงใหม่ 4 วัน 3 คืน ไปส่วนตัวจึงไม่อยากรบกวนรถของทางราชการแม้ลุงเองจะมีสัมพันธ์อันดีกับหัวหน้าหน่วยต่างๆในพื้นที่เชียงใหม่ก็ตาม และลุงก้อไม่ได้ขอยืมรถเพื่อนที่เรียน วปอ.ด้วยกันที่ใหญ่โตอยู่ที่เชียงใหม่ด้วย เพราะเขามักจัดคนขับรถมาให้ด้วยเสมอ ลุงแค่ต้องการไปพักผ่อนเงียบๆ ไม่ต้องมีแผนล่วงหน้า แค่ต้องการรถเล็กๆสักคันเผื่อขับไปทานข้าวทานกาแฟนิดหน่อยเท่านั้น ลุงจึงเลือกเช่ารถเพื่อไม่ต้องรบกวนใครมากมาย

ปกติลุงจะเช่ารถที่มีบูธในสนามบิน เพราะเป็นแบรนด์อินเตอร์ มีระบบบริการมาตรฐาน ที่สำคัญที่สุดคือ ระบบประกันความเสียหายของรถ เป็นแบบ Super Collision Damage Waiver Insurance (SCDW) พูดง่ายๆคือเอารถมาคืนไม่ต้องมาเดินเถียงกันว่ารอยข่วนตรงนี้ใครทำ มันอยู่ในประกันหมดแล้ว ไม่ต้องมาเรียกค่าอะไรเพิ่มเติม ตกลงเช่า จ่ายเงิน ขับไป ส่งคืน จบ

แต่วันนั้นรถเช่าในสนามบินหมดไม่มีสักคันแม้จะจองล่วงหน้าเกือบอาทิตย์นึงก้อตาม ลุงจึงเลือกใช้บริการจากผู้ให้บริการอื่นนอกสนามบินเจ้านี้ มีโปรไฟล์ดูดี เอารถมาส่งให้ที่สนามบินและเราสามารถคืนรถที่สนามบินได้เลย ราคาก้อพอๆกับเช่าที่สนามบิน คือวันละพันสามร้อยบาท สามวันสามพันเก้าร้อย แต่สิ่งที่ลุงไม่รู้คือ มันมีขบวนการคอยตบทรัพย์เราอยู่ เริ่มแต่จุดแรกคนส่งรถเอารถมาส่งลูกค้าหลายคันและจอดขวางกัน พอเราไปรับรถก็แทบไม่ได้อธิบายอะไรให้เซ็นรับตรงนี้ แล้วรีบไปถอยรถอีกคันที่ขวางอยู่ให้ลุงเอารถออก รถก็ติดรอยาว เค้าแค่ให้เบอร์คนที่จะมารับรถเป็นอีกคนนึงเท่านั้น ลุงมองรอบๆรถด้วยความรวดเร็วเพราะตรงนั้นรถติดรอเราถอยยาว รถเป็นรถคัมรีใหม่ไม่มีอะไรผิดปกติ ลุงใช้รถสามวันส่วนมากจอดไว้ที่โรงแรมเพราะส่วนมากเพื่อนมารับไปเที่ยว รถที่เช่าใช้แค่ขับไปซื้อของจำเป็นเล็กๆน้อยๆเท่านั้นใช้สามวันลุงเติมน้ำมันคืนให้ไม่ถึงห้าร้อยบาทขับน้อยมากและไม่ได้ไปเฉี่ยวชนอะไร

ทีนี้ความสำคัญของเรื่องอยู่ตรงตอนคืนรถ ลุงโทรไปตามเบอร์ที่ให้และนัดหมายที่สนามบิน ลุงก็จอดรอเปิดแอร์รอในรถ จนสักพักมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาที่รถ มาถึงก็เดินไปข้างท้ายรถทันทีเลย ก้มลงไปทำอะไรที่พื้นไม่รู้ ลุงมองกระจกหลังอยู่ก็แปลกใจ สักพักก็มาเคาะกระจกเรียกบอกว่าลุงทำรถเป็นรอย ลุงออกมาดูก็ไม่เห็นมีรอยอะไร เมื่อเช้าก่อนออกจากโรงแรมก็เดินดูเที่ยวนึงแล้ว เด็กคนนั้นบอกว่า ที่ใต้กันชนด้านขวาเป็นรอยขูด ให้ก้มดูและเอามือลูบใต้กันชน มีรอยขูดเป็นขุยๆ ลุงถามว่า “กรูจะต้องขับท่าไหนยังไงถึงจะมีรอยตรงจุดนี้ได้” เด็กบอกว่าน่าจะถอยไปเกี่ยวครูดกับอะไร ลุงเห็นว่าถ้าจะครูดตอนถอยก็ควรโดนทั้งแผ่นกันชนไม่ใช่แค่รอยทางขวาเล็กๆรอยเดียว…

ประเด็นสำคัญคือขบวนการพวกนี้รู้ว่าเราเถียงด้วยนานไม่ได้เพราะต้องรีบขึ้นเครื่องกลับ เมื่อลุงถามว่าแล้วมันต้องทำยังไง ก็รถเช่ามีประกันอยู่แล้วนี่ดูในสัญญาคร่าวๆก็พอเห็น แต่รายละเอียดคือบริษัทพวกนี้จะไม่บอกว่า มีประกันจริงแต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรต้องเสียค่าเปิดเคลมสามพัน มันจึงเป็นช่องทางให้เค้าเรียก สามพันเพราะเป็นรอยใต้กันชนเป็นค่าเปิดเคลม ไม่งั้นเราจะเสียเวลาอาจขึ้นเครื่องไม่ทัน แต่บังเอิญวันนั้นลุงไปถึงสนามบินก่อนนานมากเพราะต้องเช็คเอ๊าท์โรงแรมก่อนเที่ยง แต่บินกลับตอนเย็นๆจึงตั้งใจไปนั่งทานกลางวันที่สนามบินไม่รีบ ลุงจึงบอกให้เอาเบอร์เจ้าของบริษัทมาจะโทรคุยด้วย หรือไม่ก็ไปที่บริษัทด้วยกัน ลุงไม่ยอม เด็กคนนั้นจึงบอกว่า “ถ้าลูกค้าไม่พอใจก็ไม่เป็นไรครับ” แล้วรีบขับรถออกไป

ลุงขึ้นเครื่องกลับก็มาคิดทบทวนว่า เด็กรับรถน่าจะมาตบทรัพย์สามพันเป็นค่าเปิดเคลมแน่ๆ เพราะใต้กันชนใครจะไปตรวจดู แล้วเราขับเองก็รู้ว่าไม่ได้ชนอะไร แต่การทำแบบนี้มันตบทรัพย์ชัดๆ รถเช่าสิบคันมีคนยอมจ่ายห้าคันวันนึงก็ได้หมื่นห้าแล้ว หาเงินง่ายๆแบบนี้เหรอ ลุงก็คิดว่าดีแล้วที่เราไม่รีบอะไรและจะไปคุยกะเจ้าของ เด็กมันถึงรีบไป…แต่…

หลังจากนั้นเจ็ดวัน มีหนังสือจากทนายของบริษัทแจ้งมาให้โทรมาไกล่เกลี่ยกับทนายปรับลุงสี่หมื่นกว่า *ลุงรีบทำหนังสือตอบปฏิเสธไปว่าไม่ได้กระทำ แต่หนังสือตีกลับว่าส่งไม่ถึงที่อยู่ที่ทนายบริษัทให้มา* ต่อมาสักสองอาทิตย์ก็มีหมายศาลมาที่บ้านลุง บริษัทฟ้องศาลว่าลุงเช่ารถแล้วผิดสัญญา ทำรถเป็นรอย ไม่จ่ายค่าเปิดเคลมตามสัญญาที่คนส่งรถให้ลุงเซ็นแบบรีบๆตอนรับรถ ทำให้บริษัทเสียหายต้องส่งรถซ่อมทำสี และรถไม่ได้ใช้ประโยชน์ในการให้เช่าอีกเจ็ดวันคิดค่าปรับตามสัญญา รวมๆแล้ว สี่หมื่นหนึ่งพันห้าร้อยบาท (คิดดูเช่ามันสามวัน สามพันเก้า มันมาบอกเป็นรอย ปรับวันละห้าพันรวมสี่หมื่นกว่า) ศาลนัดให้คู่กรณีมาไกล่เกลี่ยกันเดือนต่อไป… **ณ จุดนี้สำคัญ ลุงรีบทำหนังสือตอบปฏิเสธไม่ยอมรับ และส่งลงทะเบียน ส่งไปตามที่อยู่ตามหัวกระดาษของทนายแต่จดหมายถูกตีกลับ ที่อยู่ไม่มีผู้รับ นั่นไม่เป็นไรเพราะมันเป็นหลักฐานให้ศาลดูว่าเราไม่ยอมรับตั้งแต่แรกและมีหลักฐานเป็นเอกสารที่สอดคล้องกับคำให้การของเรา**

ณ จุดนี้น่าแปลกใจตรงที่บริษัทดำเนินการฟ้องทั้งที่รู้แก่ใจว่าไม่จริง การฟ้องลูกค้าปกติบริษัทต้องจ้างทนาย ค่าทนาย ค่าศาล ก็ไม่คุ้มแล้ว แต่ปรากฏว่าลุงไปสืบดูบริษัทนี้มีทนายเป็นเจ้าของ และไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไร ลูกค้าที่ถูกฟ้องหากจะสู้เค้าค่าทนายก็เป็นหมื่น ถ้าสู้แพ้เสียอีกเยอะ ตามตรรกะ ควรยอมไกล่เกลี่ยเสียสักห้าหกพันฟาดเคราะห์ดีกว่าไปขึ้นศาลวุ่นวาย แต่นั่นไม่ใช่ลุง ลุงรู้แน่ชัดว่าบริษัททั้งบริษัทมันเป็นขบวนการตบทรัพย์อย่างเป็นระบบเลย ในคำฟ้องที่ยื่นศาล มีสัญญาที่ลุงเซ็นตอนเช่ารถ มีรูปรถเป็นภาพขาวดำ กำลังส่งซ่อมอยู่ที่อู่ มีรูปกันชนที่เป็นรอยและบุบมากมายทั้งกันชน ซึ่งลุงดูก็รู้เลยว่าเอารูปเคสอื่นมาแหกตาศาลเพราะศาลจะให้ไกล่เกลี่ยก่อนอยู่แล้ว และที่สำคัญใบเสร็จค่าซ่อมรถออกโดยชื่อไอ้คนที่มาส่งรถนั่นแหละ มันมีครบวงจร เด็กรับรถตั้งข้อหา เจ้าของเป็นทนายก็ฟ้องศาลเรียกค่าเสียหาย รถเข้าซ่อมก็อู่มันเองออกบิลเองอีก…

ลุงไม่ยอมไกล่เกลี่ย การยอมไกล่เกลี่ยสำหรับลุงคือยอมรับว่าเราผิดทั้งที่ไม่ได้ทำ ลุงให้เพื่อนเป็นทนายสู้คดีไปตามความจริง เล่าให้ทนายฟังตามตรง เมื่อลุงไม่ยอมไกล่เกลี่ยศาลจึงนัดให้มาเบิกความสืบพยานเดือนต่อมา ลุงยังคิดว่าบริษัทเมื่อรู้ว่าจำเรยสู้ยอมเสียค่าทนายดีกว่ายอมไกล่เกลี่ยให้มันตบทรัพย์ ก็น่าจะดร้อปคดีนี้ไป เอาเวลาไปตบทรัพย์รายอื่นที่มันไม่สู้จะดีกว่าไม่ต้องเสี่ยงเรื่องหลักฐานเท็จหรือให้การเท็จด้วย แต่ปรากฏว่าบริษัทสู้คดี ส่งชื่อเจ้าของบริษัทที่เป็นทนายเองฟ้องเองด้วยเป็นโจทก์เองด้วย และ คนที่มาส่งรถ มาเบิกความสืบพยาน แต่แปลกที่ไม่ส่งชื่อเด็กที่มารับรถซึ่งเป็นประจักษ์พยานตัวจริงให้ศาล เพราะจากการพูดคุยวันคืนรถ ลุงรู้สึกได้ว่าเด็กคนนี้ขี้ตกใจ พูดไปหลบตาไป แบบนี้ขึ้นศาลน่าจะโดนทนายซักกระจาย ถึงตอนนี้จะเห็นว่าบริษัทไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเลย แต่ลุงต้องจ่ายค่าทนายหลักหมื่น ถ้าแพ้ก้อเสียตามที่ศาลพิจารณาอีกพร้อมดอกเบี้ยและค่าทนายโจทก์ด้วย ในขณะที่บริษัทมีแต่ได้มากหรือน้อยเท่านั้น อย่างโชคร้ายสุดก้อแพ้คดีศาลยก ไม่ได้ไม่เสียอะไร แต่ลุงเสียแน่ๆคือค่าทนายและการเดินทางไปศาล

วันสืบพยานมาถึงในเดือนต่อมา ลุงไปศาลแต่บริษัทอยู่ที่เชียงใหม่ใช้ประชุมทาง zoom คำแรกที่ทนายเจ้าของบริษัทถามศาลคือจำเรยมาเองหรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่จะไม่มีใครมา บริษัทก็จะให้ข้อมูลศาลอยู่ฝ่ายเดียวไม่มีใครมาแย้ง เพิ่งมีครั้งนี้มั๊งที่ลุงมาสู้กับมัน เห็นได้ชัดว่า ทนายที่เป็นเจ้าของบริษัทนั้นเพิ่งจบใหม่ๆ อายุยังไม่ถึงสามสิบเลย และไม่มีความคุ้นเคยกับการว่าความในศาลเลย ศาลถามอะไรก้อไม่ได้เตรียมมาหลายอย่างจนศาลท่านตำหนิ การซักพยานทาง zoom ก็คอยยืนโค้ชลูกน้องอยู่หลังกล้องเสียงแทรกเข้ามาจนศาลต้องว่าหลายครั้ง ที่สำคัญลุงให้การว่าวันเกิดเหตุมีแค่ลุงกับเด็กรับรถสองคนที่รู้ความจริง แล้วเด็กรับรถไม่มีชื่อสืบพยาน คนอื่นไม่ว่าจะเป็นเจ้าของหรือคนส่งรถจะรู้เหตุการณ์นี้ได้อย่างไร ไม่ใช่ประจักษ์พยานคำพูดจะมีน้ำหนักกว่าลุงที่อยู่ในเหตุการณ์ได้อย่างไร และลุงก็ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำรถเช่าเสียหายอะไร ทนายบริษัทรีบขออนุญาตศาลส่งชื่อเด็กรับรถมาให้การแย้งลุง ศาลถามความเห็นทนายของลุงว่ายินยอมหรือไม่ที่ทนายโจทก์จะขอเพิ่มพยานภายหลัง ทนายลุงไม่ยอม ศาลจึงไม่รับฟังเด็กรับรถคนนั้น ลุงให้การไปตามจริงว่า รอยเกิดใต้กันชนข้างขวาข้างเดียว ซึ่งต้องก้มหน้าถึงพื้นแล้วหงายหน้าดูถึงจะเห็น และเป็นรอยเดียว ซึ่งไม่ตรงกับในรูปที่รอยทั้งบุบทั้งแตกทั่วกันชน และรูปที่ส่งมาก็เป็นรูปขาวดำดูไม่ออกว่ารอยใหม่หรือรอยเก่า อีกทั้งตอนเกิดเรื่องทำไมไม่ถ่ายรูปรอยไว้ หรือไปแจ้งความบันทึกเป็นหลักฐานไว้ ไม่ใช่ขับรถออกไปเลย การพูดของลุงเมื่อตอบคำถามทนายฝ่ายโน้น เขาจะใช้ลูกเล่นให้เราตอบแค่ใช่หรือไม่ แต่ไม่ยอมให้อธิบายรายละเอียด เช่นถามว่าลุงเซ็นชื่อตอนรับรถหรือไม่ การเซ็นคือยอมรับกติกาของเขา ลุงพยายามจะอธิบายว่ามีการเร่งให้ถอยรถ และไม่ได้พาลุงดูรอบรถเพราะคนส่งรถไปถอยคันอื่นอยู่ ทนายก็ตัดบทจะให้ศาลฟังแค่ลุงเซ็นชื่อยอมรับรถเท่านั้น แต่ลุงทำการบ้านมาอย่างดี ทุกครั้งที่ถูกตัดบทจากทนายลุงจะยกมือขออนุญาตศาล ว่าท่านครับผมขออนุญาตอธิบายตรงนี้ให้ท่านฟังได้ไหมครับ ท่านก็อนุญาตเสมอ ลุงจึงพูดว่า การเซ็นชื่อรับรถในภาวะรีบร้อนแบบนั้นก็ได้เห็นคร่าวๆแล้วว่ารถอยู่ในสภาพเรียบร้อย แต่วิญญูชนคนธรรมดาไปเช่ารถ ไม่ได้ไปซื้อรถจะมีใครก้มลงไปดูใต้ท้องรถบ้างว่ามีรอยหรือไม่ แล้วเหตุเกิดตอนส่งรถคืน ทำไมเด็กรับรถคืนเมื่อรู้ว่ารถเป็นรอยไม่เห็นถ่ายรูป แจ้งตำรวจ หรือทำอะไรเป็นหลักฐานเลย กลับขับรถกลับไปเฉยๆเมื่อเราบอกว่าต้องการไปคุยกับเจ้าของบริษัท จึงมีพิรุธน่าจะมีเจตนา ตบทรัพย์ค่าเคลมมากกว่า เจ้าของที่เป็นทนายพยายามซักลุงและต่อว่าลุง ว่าเซ็นรับแล้วรถเป็นรอยกลับไม่ยอมจ่ายได้ยังไง ลุงก้อตอบแค่เซ็นรับจริง แต่รถเป็นรอยไม่ได้ทำ เจ้าของพูดว่ารถคันนี้ใหม่เอี่ยมให้ลุงเช่าขับเป็นคนแรกพร้อมขอให้ศาลส่งหลักฐานทะเบียนรถให้ลุงดู ลุงดูปุ๊บหัวเราะก๊าก บอกศาลว่าดูสิครับท่าน รถใหม่อะไร ในทะเบียนที่เค้าส่งให้ดู รถปี 2017 ห้าปีมาแล้ว และตรงผู้ครอบครองก็ระบุว่า เขาเป็นผู้ครอบครองคนที่สาม จะเป็นลุงที่ขับเป็นคนแรกได้ยังไง…

ศาลนัดฟังคำตัดสินอีกหนึ่งเดือนถัดมา คือสิ้นเดือน ต.ค. และท่านตัดสิน”ยกฟ้อง” ตามเหตุผลต่างๆที่ลุงนำเรียนท่านในศาลทั้งนั้นเพราะศาลท่านใช้พูดอัดเทปแล้วไปเปิดฟังเพื่อประกอบการพิจารณาคดีประกอบเอกสารหลักฐานอีกที ลุงจึงขออธิบายทุกเรื่องต่อท่านและท่านก็อัดเทปไว้ตามที่ลุงอธิบาย

เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ให้รู้ว่ามันมีช่องทางตบทรัพย์แบบนี้อยู่ กระทำโดยทนายที่รู้กฎหมายด้วย ฟ้องร้องแบบนี้มันมีแต่ได้ไม่มีเสีย เสียก็เสียเวลานิดหน่อย คนส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากขึ้นศาล ลุงเช่ารถเดือน มี.ค.ต้องมาขึ้นโรงขึ้นศาล จ้างทนาย กว่าจะพิพากษา ก็สิ้นเดือน ต.ค. ต้องหนักใจ รำคาญใจ เจ็บใจ เสียเงิน เสียเวลา ลุงจึงขอใช้โอกาสนี้เผยแพร่เรื่องนี้ให้ทราบกันจะได้ระวังตัวจากบทเรียนของลุง ลุงได้ลงคำพิพากษาของศาลด้วยแต่ต้องปิดเลขคดีและชื่อไว้ เพื่อให้เป็นบทเรียนและเป็นประโยชน์ ต่อพวกเราที่ได้อ่าน จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อคนกลุ่มนี้แบบลุง ลุงจะไม่หยุดแค่นี้ ลุงจะเผยแพร่เรื่องพวกนี้ออกไปและเล่าเรื่องพวกนี้ไปเรื่อยๆ สำหรับบริษัทนี้ ทำเลวมากแต่เอาผิดทางกฎหมายได้ยาก ลุงจะรอครบเดือนหลังคำพิพากษา ถ้าไม่มีการอุทธรณ์จากโจทก์ หรือศาลท่านไม่อนุญาตให้อุทธรณ์ (เบื้องต้นค่าเสียหายไม่เกินห้าหมื่นไม่น่าอุทธรณ์ได้) ลุงจะนำเรื่องที่เขียนนี้ส่งให้สภาทนายความให้สอบจรรยาบรรณทนายคนนี้แม้ท้ายสุดอาจทำอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ขอให้เป็นรอยด่างในชีวิตทนายของมันบ้างว่ามันโดนร้องเรียนซึ่งสภาทนายเค้าต้องเรียกมาสอบล่ะ…ให้มันโดนบ้างเนอะ..

Credit: คุณลุงผู้เผยแพร่ ช่วยไม่ให้คนอื่นตกเป็นเหยื่ออีก หยุดปีใหม่นี้อาจโดนหลายคนถ้าไม่ได้อ่านเรื่องนี้

ร่วมแสดงความคิดเห็น