4333

NARIT จับมือ ม.วลัยลักษณ์ ปักหมุดสร้างกล้องโทรทรรศน์วิทยุแบบวีกอสแห่งที่ 2

NARIT จับมือ ม.วลัยลักษณ์ ปักหมุดสร้างกล้องโทรทรรศน์วิทยุแบบวีกอสแห่งที่ 2 ที่นครศรีธรรมราช สำหรับศึกษาวิจัยดาราศาสตร์และภูมิมาตรศาสตร์ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) หรือ NARIT กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) จับมือ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (มวล.) ลงนามความร่วมมือสร้าง “กล้องโทรทรรศน์วิทยุนครศรีธรรมราช” เป็นกล้องโทรทรรศน์วิทยุแบบวีกอส (VGOS) แห่งที่ 2 ของไทย ใช้ศึกษาด้านภูมิมาตรศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนจากหอดูดาวเซี่ยงไฮ้ สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน คาดว่าจะเปิดดำเนินการในปี 2568 2 กันยายน 2567 – เชียงใหม่ ดร. ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ  และ ศาสตราจารย์ ดร. สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางด้านกล้องโทรทรรศน์วิทยุวีกอส จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนโครงการก่อสร้างกล้องโทรทรรศน์วิทยุแบบวีกอส (VLBI Global Observing System: VGOS) […]

(มีคลิป)พบการส่ายของเจ็ทรอบหลุมดำ M87 หลักฐานสำคัญบ่งชี้ว่าหลุมดำ “หมุน”

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยนักวิจัย สดร. ร่วมค้นพบการส่ายของเจ็ทรอบหลุมดำใจกลางกาแล็กซี M87 จากการติดตามสังเกตการณ์นานกว่าสองทศวรรษ พบว่าเจ็ทเปลี่ยนทิศทางประมาณ 10 องศา เป็นวัฏจักรที่มีคาบ 11 ปี นับเป็นหลักฐานแรกที่บ่งชี้และยืนยันว่าหลุมดำอาจกำลังหมุน งานวิจัยดังกล่าว ตีพิมพ์ลงในวารสาร Nature เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา หลุมดำ M87 เป็นหลุมดำมวลยิ่งยวดขนาดมวลกว่า 6.5 พันล้านเท่าของดวงอาทิตย์ ตั้งอยู่บริเวณใจกลางกาแล็กซี M87 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 55 ล้านปีแสง ล่าสุด นักวิจัย สดร. ร่วมใช้ข้อมูลจากเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์วิทยุ East Asia VLBI Network (EAVN) ที่ สดร. เป็นหนึ่งในสมาชิก พบว่าทิศทางของเจ็ทมีการเปลี่ยนทิศทางประมาณ 10 องศา เป็นวัฏจักรที่มีคาบ 11 ปี […]

ภาพ “ดาวศุกร์สว่างที่สุด” รุ่งเช้า 18 ก.ย. ครั้งสุดท้ายของปีนี้

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยภาพ “ดาวศุกร์สว่างที่สุด” ช่วงรุ่งสาง เช้า 18 กันยายน 2566 ปรากฏสว่างที่สุดครั้งที่ 2 และเป็นครั้งสุดท้ายในรอบปีนี้  ช่วงเวลาดังกล่าวมีดาวพุธปรากฏถัดลงมา สังเกตได้ประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น  ดาวศุกร์สว่างที่สุด (The Greatest Brilliancy) เป็นช่วงที่ดาวศุกร์มีขนาดเสี้ยวค่อนข้างใหญ่ และโคจรห่างจากโลกในระยะที่เหมาะสม อาจมีค่าอันดับความสว่างปรากฏมากถึง -4.6 (ดวงจันทร์เต็มดวง มีค่าอันดับความสว่างปรากฏ -12)   สำหรับในช่วงวันอื่น ๆ แม้ดาวศุกร์จะมีเสี้ยวที่หนากว่า แต่ด้วยตำแหน่งที่อยู่ห่างจากโลก และขนาดปรากฏที่ลดลง ความสว่างจึงลดลงตามไปด้วย ปรากฏการณ์ดาวศุกร์สว่างที่สุดครั้งถัดไป จะเกิดขึ้นในช่วงค่ำวันที่ 10 มกราคม 2568 ทางทิศตะวันตก หลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า  

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติเผย 10 กรกฎาคมนี้ “ดาวศุกร์สว่างที่สุด”

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผย ช่วงค่ำวันที่ 10 กรกฎาคม 2566 “ดาวศุกร์สว่างที่สุด” ครั้งแรกของปีนี้ ปรากฏสว่างเด่นทางทิศตะวันตก ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าจนถึงเวลาประมาณ 21:09 น. สังเกตด้วยตาเปล่าได้ทั่วประเทศ หากมองผ่านกล้องโทรทรรศน์จะเห็นดาวศุกร์ปรากฏเป็นเสี้ยวคล้ายดวงจันทร์  นายศุภฤกษ์ คฤหานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการและสื่อสารทางดาราศาสตร์ สดร.เผยว่า ในช่วงค่ำวันที่ 10 กรกฎาคม 2566 หลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เวลาประมาณ 19:00 น. ถึง 21:09 น. ดาวศุกร์จะปรากฏสว่างที่สุด คาดว่ามีค่าอันดับความสว่างปรากฏมากถึง -4.6 (ดวงจันทร์เต็มดวงมีค่าอันดับความสว่างปรากฏ -12) หากสังเกตผ่านกล้องโทรทรรศน์ดาวศุกร์จะปรากฏเป็นเสี้ยวคล้ายดวงจันทร์ นอกจากนี้ ช่วงเวลาดังกล่าวยังมีดาวเรกูลัสเคียงดาวอังคารปรากฏเหนือดาวศุกร์ขึ้นไปอีกด้วยหากทัศนวิสัยท้องฟ้าดีสามารถชมได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจนทั่วประเทศ  ดาวศุกร์สว่างที่สุด (The Greatest Brilliancy) คือช่วงที่ดาวศุกร์โคจรห่างจากโลกในระยะที่เหมาะสม และมีขนาดเสี้ยวค่อนข้างใหญ่ จึงปรากฏสว่างมากบนท้องฟ้า สำหรับในช่วงอื่น แม้ดาวศุกร์จะมีเสี้ยวที่หนากว่า แต่ด้วยตำแหน่งอยู่ที่ห่างจากโลก ความสว่างจึงลดลงตามไปด้วย  การที่เราเห็นดาวศุกร์เป็นเสี้ยวอยู่เสมอ เนื่องจากดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ลำดับที่ […]

นักวิจัย สดร. พบโครงสร้างแขนเกลียวรอบดาวฤกษ์ก่อนกำเนิดมวลมาก G358-MM1

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) ร่วมทีมนักวิจัยนานาชาติสังเกตการณ์ดาวฤกษ์ก่อนกำเนิดมวลมาก G358-MM1 โดยเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์วิทยุ ด้วยเทคนิค Very Long Baseline Interferometry (VLBI) สร้างแผนที่จานดาวฤกษ์ก่อนกำเนิด เผยให้เห็นถึงโครงสร้างแขนเกลียวรอบดาวฤกษ์ก่อนกำเนิดที่ศูนย์กลางจำนวนสี่แขนโดยรอบ ยืนยันทฤษฎีการก่อตัวของดาวฤกษ์ก่อนกำเนิด ในงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Astronomy เมื่อวันที่ 27 “ดาวฤกษ์มวลมาก” คือดาวที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ของเราไม่ต่ำกว่า 8 เท่า ดาวเหล่านี้นั้นมีความสำคัญในการทำหน้าที่เป็นโรงงานปรมาณูที่สร้างส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับสิ่งมีชีวิตในเอกภพ และมีผลเป็นอย่างมากต่อรูปร่างและวิวัฒนาการของกาแล็กซี เมื่อดาวเหล่านี้สิ้นอายุขัยและยุบตัวลงเป็นหลุมดำ จะเกิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ ปลดปล่อยพลังงานมหาศาลออกมาในรูปของ “ซูเปอร์โนวา” กระจายเศษดาวและธาตุหนักภายในออกไปเป็นวงกว้าง ซึ่งจะรวมตัวกันเป็นดาวฤกษ์ในรุ่นถัดไปในอนาคต อย่างไรก็ตาม กระบวนการก่อกำเนิดของดาวฤกษ์มวลมากนั้นยังคงเป็นปริศนามานานอยู่หลายทศวรรษ ปัจจุบันเราทราบแค่เพียงว่าพวกมันก่อตัวขึ้น ณ ภายในใจกลางของจานแก๊สและฝุ่นที่หมุนไปรอบๆ ที่เรียกว่า “จานก่อกำเนิด” (protostellar disk) ขนาดรัศมีประมาณ 1,000 หน่วยดาราศาสตร์ (AU: ระยะระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ หรือประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร)  ทฤษฎีการก่อกำเนิดดาวฤกษ์มวลมากที่ได้รับความนิยมที่สุดทฤษฎีหนึ่งในปัจจุบัน คือแนวคิดของ “การพอกพูนมวลเป็นช่วงๆ” (episodic accretion) ที่กล่าวว่ากลุ่มก้อนแก๊สจากจานก่อกำเนิดจะตกลงสู่ดาวฤกษ์ที่กำลังก่อตัวอยู่ […]

18 มีนาคมนี้ ชวนมาชมดาวกับ Dark Sky Star Party ที่ผาแต้ม

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับอุทยานแห่งชาติผาแต้ม และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชวนร่วมมหกรรมท่องเที่ยวดูดาวครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทย “Dark Sky Star Party” ประเดิมครั้งแรก ณ อุทยานแห่งชาติผาแต้ม จ.อุบลราชธานี สัมผัสความมหัศจรรย์ของท้องฟ้ายามค่ำคืน ในเขตอุทยานท้องฟ้ามืดที่มีทัศนวิสัยท้องฟ้าดีที่สุดแห่งหนึ่งของไทย พบกับการรวมตัวของคาราวานกล้องโทรทรรศน์จากนักดาราศาสตร์สมัครเล่น และเครือข่ายดาราศาสตร์ทั่วไทย พร้อมหลากหลายกิจกรรมทางดาราศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และชมธรรมชาติยามค่ำคืน วันที่ 18 มีนาคม 2566 เวลา 17:00-23:00 น. นายศุภฤกษ์ คฤหานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการและสื่อสารทางดาราศาสตร์ กล่าวว่า สดร. ดำเนินโครงการเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในประเทศไทย หรือ Amazing Dark Sky in Thailand ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มาตั้งแต่ปี 2563 มีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์ให้สังคมตระหนักรู้ถึงผลกระทบจากมลภาวะทางแสง และร่วมกันอนุรักษ์ท้องฟ้ายามค่ำคืน สนับสนุนให้ประชาชนใช้แสงสว่างให้เกิดประโยชน์สูงสุดและส่งผลกระทบน้อยที่สุด เพื่อคืนธรรมชาติให้กับสิ่งมีชีวิต เอื้อประโยชน์ต่อสุขภาพของเรา และลดการสิ้นเปลืองพลังงานที่ไม่จำเป็น ผ่านการจัดตั้งเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด […]

ชวนดูดาวหางดวงแรกของปี ที่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า

ช่วงนี้มีดาวหาง ! แนวโน้มมีความสว่างมากขึ้นจนอาจมองเห็นด้วยตาเปล่า ดาวหาง C/2022 E3 (ZTF) ที่นักดาราศาสตร์เพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ กำลังโคจรเข้าสู่ตำแหน่งใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด (Perihelion) ในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2023 คาดว่าช่วงดังกล่าวดาวหางจะมีส่วนหางที่ฟุ้งกระจายและส่องสว่างมากที่สุด และจะเข้าใกล้โลกมากที่สุดระหว่างวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ ช่วงดังกล่าว ดาวหางจะสว่างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หากสถานการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง อาจเป็นไปได้ที่จะสามารถสังเกตเห็นดาวหางดวงนี้ด้วยตาเปล่าได้จาง ๆ ในท้องฟ้าที่มืด แต่เนื่องจากความสว่างของดาวหางเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ยาก เพราะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และหลายครั้งที่ดาวหางมีความสว่างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่สุดท้ายก็ยังไม่เพียงพอที่จะมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ อย่างไรก็ตาม นับว่ายังมีจังหวะนานหลายวันที่จะสังเกตเห็นผ่านกล้องสองตา หรือกล้องโทรทรรศน์ในช่วงปลายเดือนมกราคมถึงต้นกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 จากข้อมูลของนาซา ผู้สังเกตที่อยู่บริเวณซีกโลกเหนือจะสามารถสังเกตดาวหางได้ในช่วงเช้ามืด ซึ่งกำลังปรากฏเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือในเดือนมกราคม จากนั้นดาวหางจะปรากฏให้ผู้สังเกตในซีกโลกใต้สังเกตได้ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการสังเกตดาวหาง C/2022 E3 (ZTF) คือวันที่ดวงจันทร์ไม่สว่างมาก (จันทร์ดับ หรือดวงจันทร์ปรากฏเป็นเสี้ยวบาง ๆ) ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2023 จันทร์ดับจะตรงกับวันที่ 22 มกราคม ดังนั้น […]

NASA เผยภาพดวงอาทิตย์ กำลังอมยิ้มกรุ้มกริ่ม

ยาน Solar Dynamics Observatory บันทึกภาพรอยดำมืดขนาดใหญ่บนดวงอาทิตย์ ดูคล้ายดวงอาทิตย์ที่กำลังอมยิ้มกรุ้มกริ่ม ปลายเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา NASA เผยภาพถ่ายในช่วงคลื่น X-ray และช่วงคลื่นอัลตราไวโอเลตที่เรียกว่า Extreme Ultraviolet (EUV) แสดงให้เห็นรอยดำมืดลักษณะคล้ายกับหน้ากำลังยิ้มบนดวงอาทิตย์ ซึ่งเกิดจากพลาสมาที่มีความหนาแน่นสูงและมีอุณหภูมิต่ำกว่าบริเวณรอบๆ นักดาราศาสตร์เรียกบริเวณนี้ว่า หลุมโคโรนา (Coronal hole) หลุมโคโรนา ยังเป็นบริเวณที่ทำให้เกิดลมสุริยะความเร็วสูงกว่าปกติถึง 2 เท่า เนื่องจากมีเส้นสนามแม่เหล็กพุ่งเข้าและออกไปไกลมากๆ ส่งผลให้พลาสมาเคลื่อนที่ตามแนวเส้นสนามแม่เหล็ก และเคลื่อนตัวออกจากชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตน์ด้วยความเร็วสูง เกิดเป็นลมสุริยะที่รุนแรงพัดออกสู่อวกาศ ด้วยความเร็วสูงกว่า 800 กิโลเมตรต่อวินาที สำหรับภาพดวงอาทิตย์ยิ้มอรุ่มเจ๊าะนี้ ถ่ายโดยยาน Solar Dynamics Observatory ของ NASA ที่ถูกส่งออกสู่อวกาศเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2010 มีภารกิจคือศึกษาโครงสร้างภายใน ชั้นบรรยากาศ สนามแม่เหล็ก การปลดปล่อยพลังงานของดวงอาทิตย์ และเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ ที่อาจส่งผลต่อสภาพอวกาศ (Space Weather) และดาวเทียมที่โคจรรอบโลก หลังจากภาพนี้ได้เผยแพร่ออกไป ก็มีผู้ให้ความสนใจแสดงความคิดเห็น และเปรียบเทียบดวงอาทิตย์เป็นสิ่งต่างๆมากมาย […]

ปรากฏการณ์ “Moondogs” เหนือทะเลเมฆ

นี่คือดวงจันทร์ มิใช่ดวงอาทิตย์ อีกทั้งกำลังเกิดปรากฏการณ์ “Moondogs” ที่หาชมยาก และยังเป็นวิวทิวทัศน์จากบนเครื่องบินอีกด้วย! อีกหนึ่งภาพถ่ายดาราศาสตร์ฝีมือคนไทย ที่ทำให้เราได้ชมเหตุการณ์ที่ไม่ได้พบเห็นง่ายๆ ผลงานของคุณสุภฉัตร วรงค์สุรัติ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 การประกวดภาพถ่ายดาราศาสตร์ ปี 2565 ประเภทปรากฏการณ์ที่เกิดในบรรยากาศของโลก ปรากฏการณ์ Moondogs เกิดจากการที่แสงจากดวงจันทร์ ถูกหักเหหรือสะท้อนกับผลึกน้ำแข็งรูปแผ่น ซึ่งอยู่ในเมฆบางชั้นสูงที่วางตัวแบนๆ ตามแนวระดับ คล้ายกับใบไม้ที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้ เกิดเป็นวงแหวนสีรุ้งขึ้น เรียกว่า การทรงกลดที่เกิดจากผลึกรูปแผ่น (Plate Halo) หรือเส้นโค้งที่เกิดจากผลึกรูปแผ่น (Plate Arc) ลักษณะที่เกิดขึ้นนอกจากวงแหวนสีรุ้ง คือการปรากฏของแถบแสงด้านซ้ายและขวาของดวงจันทร์ แต่ละแถบแสงเรียกว่า moondog ถ้าเป็นแถบทั้งสองข้างจะเรียกว่า moondogs หากมีความสว่างมากพอ จะดูเสมือนมีดวงจันทร์ทั้งหมด 3 ดวง ปรากฏการณ์นี้คล้ายกับปรากฏการณ์ sundogs ซึ่งเกิดจากแหล่งกำเนิดแสงที่เป็นดวงอาทิตย์ แต่เกิดขึ้นได้ยากกว่า เพราะดวงจันทร์มีความสว่างน้อยกว่าดวงอาทิตย์ วงแหวนสีรุ้ง จะมีระยะห่างเชิงมุมประมาณ 22 องศาเสมอ เนื่องจากแสงที่เดินทางผ่านผลึกจะถูกเบี่ยงเบนไปจากแนวตกกระทบเดิมเป็นมุม 22 องศาในทิศต่าง ๆ ผู้สังเกตจึงมองเห็นแนวแสงที่ห่างจากแหล่งกำเนิดเป็นมุม […]

ดาวพฤหัสบดีใกล้โลกที่สุดในรอบ 59 ปี เหนือฟ้าเมืองเชียงใหม่

ดาวพฤหัสบดีใกล้โลกที่สุดในรอบ 59 ปี อวดโฉมเหนือฟ้าเมืองเชียงใหม่ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยภาพ “ดาวพฤหัสบดีใกล้โลกที่สุดในรอบ 59 ปี” บันทึกผ่านกล้องโทรทรรศน์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.4 เมตร ณ หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา สงขลา นับเป็นโอกาสดีที่จะสังเกตดาวพฤหัสบดีในช่วงนี้ ปรากฏชัด สุกสว่างทางทิศตะวันออก ในช่วงหัวค่ำ สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจน ตลอดคืนจนถึงรุ่งเช้า นายศุภฤกษ์ คฤหานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการทางดาราศาสตร์ สดร. กล่าวว่า ปรากฏการณ์ “ดาวพฤหัสบดีใกล้โลกที่สุดในรอบปี” ในวันที่ 27 กันยายน 2565 ถือเป็นการโคจรเข้าใกล้โลกที่สุดในรอบ 59 ปี นับตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2506 มีระยะทางห่างจากโลกประมาณ 591 ล้านกิโลเมตร ในวันดังกล่าวสามารถสังเกตเห็นดาวพฤหัสบดีได้ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า จนถึงรุ่งเช้า หากมองผ่านกล้องโทรทรรศน์ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 […]

4 ก.ค.65 โลกโคจรห่างดวงอาทิตย์ที่สุดในรอบปี

4 กรกฎาคม 2565 เป็นวันที่โลกโคจรอยู่ห่างดวงอาทิตย์ที่สุดในรอบปี หรือที่เรียกว่าจุด “อะฟีเลียน” (Aphelion) จุดที่โลกเราอยู่ห่างดวงอาทิตย์ที่สุดในรอบปี ระยะทางประมาณ 152,098,455 กิโลเมตร ในเวลา 14:10 น. ตามเวลาประเทศไทย ในหนึ่งปี โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี ทำให้มี 2 จุดบนวงโคจร คือจุดที่โลกจะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด เรียกว่า “เพอริฮีเลียน” (Perihelion) ในเดือนมกราคม และจุดที่ไกลดวงอาทิตย์ที่สุด เรียกว่า “อะฟีเลียน” (Aphelion) ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งตรงกับวันที่ 4 กรกฎาคมนี้ ทั้งนี้ ตำแหน่งของโลกที่อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์มากที่สุดไม่ส่งผลต่ออุณหภูมิบนโลกแต่อย่างใด เนื่องจากฤดูกาลของโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะห่างจากดวงอาทิตย์ แต่ขึ้นอยู่กับความเอียงของแกนโลกนั่นเอง