นี่คือ ส่วนต่างในสังคมไทย

ยุคน้ำมันแพง ทำให้สิ่งของทุกๆอย่างแพงขึ้นเป็นเงาตามตัว ไม่ว่าจะเป็นค่าโดยสารรถรับจ้าง ที่อยู่อาศัย ค่าน้ำ ค่าไฟ ฯ เอาเป็นว่าพอน้ำมันขึ้นราคา สิ่งของบริโภคและเครื่องใช้ต่างๆ พากันขึ้นราคาทุกอย่าง ซึ่งทางผู้บริหารประเทศ ก็ได้เรียกผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาประชุม เพื่อหาวิธีช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับความเดือดร้อนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้แต่การรณรงค์หรือบังคับใช้กฎหมาย ทั้งภาครัฐและเอกชนให้ช่วยกันประหยัดพลังงาน ซึ่งก็มีหลายหน่วยงานให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีแต่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีโอกาส ได้ขึ้นราคากับเขาเลยก็คือ สินค้าภาคเกษตร เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ราคาเป็นอย่างไรมาถึงปัจจุบันราคาก็ยังคงไว้เหมือนเดิม จะยกตัวอย่างเช่น ผักกาดขาว กะหล่ำปลี ผักกวางตุ้ง และอีกมากมายหลายชนิด ประเภทผักๆทั้งหลายที่ยังทรงราคาไว้ ทั้งๆที่ส่วนประกอบของมันเช่น ปุ๋ยเคมี ค่าแรง ค่าขนส่ง แม้แต่ค่าเช่าที่ทำกินก็พากันขึ้นราคาไปตั้งนานหลายรอบแล้ว เราจะเห็นได้ว่าการทำธุรกิจประเภทนี้ เป็นอาชีพของชาวบ้านตาดำๆทั้งนั้น
นับวันก็จะหายไป เพราะทนความขาดทุนเป็นหนี้ไม่ไหว ถึงแม้ว่าทางผู้แทนหรือรัฐบาลหลายยุคหลายสมัย จะหยิบยกเอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นประเด็น หรือการหาเสียง ที่ว่าจะส่งเสริมและช่วยเหลือพี่น้องชาวเกษตรกรทั้งหลายให้อยู่ดี กินดี มีคุณภาพ มีชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อที่จะได้ปลดหนี้ลืมตาอ้าปากกับเขาเสียที แต่ความเป็นจริงพวกเขาก็ยังเหมือนเดิม บางรายแย่กว่าเดิม และเพิ่มหนี้มากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ที่ผู้เขียนนำเรื่องผักๆมาเขียนในวันนี้ เมื่อ 2 วันที่ผ่านมาในช่วงเช้ามืด ผู้เขียนได้ไปเดินดูราคาสินค้าภาคเกษตรต่างๆ ที่ตลาดเมืองใหม่ ซึ่งเป็นตลาดกลางทางภาคเกษตร ที่มีประชาชนนำมาจำหน่วยและมีประ ชาชนมาจับจ่ายมากที่สุด จึงได้สังเกตเห็นราคาของผักๆทั้งหลาย ที่มีราคากองละไม่กี่บาท อดนึกสงสารคนที่ลงทุนปลูกขึ้นมาทันที ขอยกตัวอย่างเช่น ผักกาดขาว ที่ชาวไทยภูเขานิยมปลูกกันมาก พอเห็นรา คาเขาขายกันแบบยกเข่งๆละไม่กี่บาท(เข่งละ 10 กิโล)หรือเป็นกองๆละ 5-10 บาทเท่านั้น นี่คือราคาทางพ่อค้าคนกลางนำมาขาย แล้วคนที่ลงทุนลงแรงปลูกจริงๆ จะได้เงินกี่สตางค์ นี้คือส่วนต่างในสังคมไทย
ขอบคุณรูปจาก twitter @itong2go

ร่วมแสดงความคิดเห็น