นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) เปิดเผยว่า “ใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา การดำเนินงานภายใต้แผนปฏิบัติการ 1511 ร่วมกันของ 6 ประเทศในลุ่มน้ำโขง ซึ่งไทยเป็นแกนหลักได้เกิดผลอย่างชัดเจนในด้านการปราบปรามและสกัดกั้น โดยในเมียนมามีการจับยึดได้ยาบ้ากว่า 1.8 ล้านเม็ด ไอซ์ 340 กก. และโดยเฉพาะล่าสุดมีการยึดคาเฟอีน 1 ตัน ในเขต จ.ท่าขี้เหล็ก ได้ก่อนจะถูกลำเลียงเข้าไปผลิตอัดเม็ดบริเวณชายแดนเมียนมา-ไทย ถือเป็นการหยุดยั้งการผลิตยาบ้าที่ได้มากถึง 14 ล้านเม็ด สำหรับใน สปป.ลาว มีการจับยึดไอซ์กว่า 600 กก. ที่เมืองปากกระดิ่ง แขวงบอลิคำไซ ขณะที่ในไทยสามารถจับยึดยาบ้าได้ในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือรวมกว่า 6.7 ล้านเม็ด”
ปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมาในระหว่างการประชุมว่าด้วยความร่วมมือในการปราบปรามยาเสพติดระดับรัฐมนตรี 7 ฝ่าย (จีน กัมพูชา เมียนมา ไทย เวียดนาม และสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เสนอให้ 6 ประเทศลุ่มน้ำโขงร่วมกันเปิดปฏิบัติการสกัดกั้นเคมีภัณฑ์/สารตั้งต้นไม่ให้เข้าสู่แหล่งผลิตและไม่ให้ยาเสพติดออกจากแหล่งผลิตในสามเหลี่ยมทองคำ โดยทุกประเทศเห็นชอบร่วมกันและนำไปสู่การกำหนดแผนปฏิบัติ 1511 ซึ่งเริ่มมีการปฏิบัติการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 เป็นต้นมา ซึ่งสำหรับไทย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เปิดปฏิบัติการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา
เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ผลจากการยกระดับมาตรการยาเสพติดร่วมกัน 6 ประเทศ ภายใต้ปฏิบัติการ 1511 ในระยะเวลา 2 เดือน ที่ผ่านมา 6 ประเทศสมาชิกสามารถยึดยาบ้าไปแล้วมากกว่า 32.3 ล้านเม็ด ไอซ์ 4.3 ตัน เฮโรอีน 420 กก. กัญชา 2.9 ตัน คีตามีน 20 กก. และเคมีภัณฑ์ 46.5 ตัน ถือเป็นการหยุดยั้งยาเสพติดจำนวนมหาศาล ไม่ให้กระจายเข้าสู่แหล่งแพร่ระบาด นำไปสู่การมอมเมาเด็ก/เยาวชน และทำลายคุณค่าความเป็นมนุษย์ทั้งของไทย ประเทศในลุ่มน้ำโขง และประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก
ร่วมแสดงความคิดเห็น