สธ.ดันนโยบาย “หวานน้อย..สั่งได้” เพิ่มทางเลือกช่วยคนไทยไม่ติดหวาน

กระทรวงสาธารณสุข เพิ่มทางเลือก “หวานน้อยสั่งได้” ช่วยคนไทยลดติดหวาน ป้องกันโรคอ้วน
เบาหวาน ความดัน หัวใจ พร้อมหนุนสร้างโรงอาหารปลอดภัยใส่ใจสุขภาพ ส่งเสริมให้วัยทำงานมีสุขภาพดี

​วันนี้ (4 มีนาคม 2563) ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังการ ตรวจเยี่ยมโรงอาหารปลอดภัยใส่ใจสุขภาพ (Healthy Canteen) ของกรมอนามัย และมอบทางเลือกหวานน้อยสั่งได้ ณ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ว่า เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขได้มีการเปิดตัว “โรงอาหารปลอดภัย ใส่ใจสุขภาพ” (Healthy Canteen) เพื่อให้คนวัยทำงานสามารถเข้าถึงอาหารสุขภาพลดหวาน มัน เค็ม โดยเน้นการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพเรื่องโภชนาการให้ประชาชนเลือกบริโภคอาหารได้ครบถ้วน เพียงพอและหลากหลาย ซึ่งปัจจุบันคนไทยมีพฤติกรรมติดหวานมากขึ้น ทั้งอาหารและเครื่องดื่มรสหวานที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ดังนั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินน้ำตาลสามารถเริ่มต้นได้จากเครื่องดื่มต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เมื่อต้องการดื่มเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาล เช่น ชานม ชาเขียว กาแฟ โกโก้ หรือ นมเย็น แนะนำให้ประชาชนสั่งสูตรหวานน้อย เพื่อลดปริมาณน้ำตาลที่จะได้รับในแต่ละแก้ว หรือลดขนาดเครื่องดื่มเป็นขนาดเล็กลง นอกจากนี้ขอความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะภาคเอกชนหรือร้านกาแฟที่มีการจำหน่ายเครื่องดื่มผสมน้ำตาล ในการคิดค้นเครื่องดื่มสูตรหวานน้อยจำหน่ายในร้านของตนเอง เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนเลือกเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ แต่หากต้องการดื่มเครื่องดื่มสำเร็จรูปที่มีวางจำหน่าย เช่น น้ำอัดลม นมเปรี้ยว น้ำผลไม้ ควรอ่านฉลากก่อนซื้อ โดยเลือกแบบที่ไม่เติมน้ำตาลเป็นดีที่สุด รองลงมาคือ เติมน้ำตาลไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ หากน้ำตาลเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าหวานจัด ควรต้องหลีกเลี่ยง ทั้งนี้ เครื่องดื่มที่ดีที่สุดสำหรับร่างกายคือ น้ำเปล่า โดยควรดื่มอย่างน้อย 6 – 8 แก้วต่อวัน และควรกินอาหารให้ครบถ้วน หลากหลาย และมีคุณค่าทางโภชนาการ เน้นการกินผัก ผลไม้สดในทุกมื้ออาหาร
ทางด้าน แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากฐานข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย พบว่า คนไทยกินน้ำตาลมากถึงวันละ 25 ช้อนชา ซึ่งมากกว่าปริมาณที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ที่ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา ถึงกว่า 4 เท่า มากกว่าครึ่งของปริมาณน้ำตาลที่ได้รับมาจากเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมน้ำตาล และข้อมูลจากการศึกษาเครื่องดื่มที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ต่อพฤติกรรมการบริโภคของประชาชน โดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ปี 2562 พบว่า โดยเฉลี่ยในแต่ละวันคนไทยดื่มเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลเฉลี่ยกว่า 3 แก้ว หรือประมาณ 519.3 มิลลิลิตร โดยเฉพาะเด็กอายุ 6 -14 ปี เป็นกลุ่มที่ดื่มเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลเฉลี่ยต่อสัปดาห์ มากที่สุด เครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลที่วางจำหน่ายในประเทศไทยพบมีปริมาณน้ำตาลสูงมากเฉลี่ย 9 – 19 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร ขณะที่ปริมาณที่เหมาะสมคือไม่ควรมีน้ำตาลมากกว่า 6 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร เพราะจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิด โรคไม่ติดต่อเรื้อรังหรือ NCDs เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดัน หัวใจ หลอดเลือดหัวใจ และฟันผุ

ทางด้าน นายสุชาติ ระมาศ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีก บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสนใจในเรื่องสุขภาพเป็นอย่างมาก การเลือกเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่ร้านกาแฟสดจึงเป็นเรื่องสำคัญ ประกอบกับการสนับสนุนจากรัฐบาลโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และกรมอนามัย ได้มีการนำเสนอโครงการเพื่อกระตุ้นการบริโภคเครื่องดื่มหวานน้อย และเครื่องดื่มลดหวาน อย่างต่อเนื่อง ซึ่งร้าน Café Amazon ได้ให้ความร่วมมือในการเข้าร่วมโครงการดังกล่าวมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นโครงการหวานพอดี 4 กรัม โครงการเครื่องดื่มทางเลือกสุขภาพ โดยร้าน Café Amazon เป็นผู้ประกอบการร้านกาแฟสดรายแรก ที่ได้รับตราสัญลักษณ์เครื่องดื่มทางเลือกสุขภาพ และในปีนี้ร้าน Café Amazon ขอเป็นหนึ่งกำลังสนับสนุนให้คนไทยบริโภคเครื่องดื่มหวานน้อย กับนโยบาย “หวานน้อยสั่งได้” ร่วมกับกรมอนามัย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ด้วยการใช้ “Sweetness Scale” โดยเริ่มนำร่องที่ร้าน Café Amazon สาขากรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ในวันที่ 4 มีนาคม 2563 เป็นทีแรก และจะเริ่มใช้ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป

ร่วมแสดงความคิดเห็น