ผลวิจัยชี้ ผู้หญิงตั้งครรภ์ รับสารกำจัดศัตรูพืช เสี่ยงไปถึงลูก

ถึงแม้ที่ประชุม 4 ฝ่าย (รัฐ-ผู้นำเข้า-เกษตรกร-ผู้บริโภค) จะมีมติเป็นเอกฉันท์ยกระดับ 3 สารเคมีกำจัดศัตรูพืช “พาราควอต-ไกลโฟเซต-คลอร์ไพริฟอส” จากประเภทที่ 3 มาเป็นประเภทที่ 4 คือ ห้ามผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ครอบครอง แล้วก็ตาม แต่มีการสั่งแบนสารเพียง 2 ชนิด คือพาราควอต และคลอร์ไพริฟอส โดยจะมีผล ‪1 มิถุนายน 2563‬ ผู้ที่มีไว้ในครอบครอบจะต้องส่งคืนผู้นำเข้าเพื่อส่งคืนบริษัทผู้ผลิต หรือนำทำลาย ไม่เช่นนั้นจะมีความผิดตามกฎหมายและมีโทษหนัก  ขณะที่ไกลโฟเซต ต้องใช้อย่างควบคุมและจำกัด

ประเด็นสำคัญจากนี้คือข้อมูลทางวิชาการและข้อมูลเชิงประจักษ์ ว่าทั้ง 3 สารเคมีนั้นมีอันตรายต่อมนุษย์จริง และจำเป็นถึงขนาดต้องมีการยกเลิกหรือไม่ และหากต้องยกเลิกจะมีสารเคมีใดที่จะทดแทนในแง่ของประสิทธิภาพและราคาที่เกษตรกรรับได้บ้างท่ามกลางงานวิจัยต่าง ๆ ที่มีทั้งเห็นด้วยและเห็นต่าง มีงานวิจัย “ความเข้มข้นของพาราควอตตกค้างในปัสสาวะหญิงตั้งครรภ์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เกษตรกรรมในประเทศไทย” โดยคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล สะท้อนถึงปัญหาตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืช โดยเฉพาะในกลุ่มมารดาตั้งครรภ์ และมารดาที่กำลังให้นมบุตร

งานดังกล่าวศึกษาความเข้มข้นของพาราควอตตกค้างในปัสสาวะหญิงตั้งครรภ์ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เกษตรกรรมในประเทศไทย ซึ่งศึกษาหญิงตั้งครรภ์ที่ฝากครรภ์ใน 3 จังหวัด ได้แก่ จ.อำนาจเจริญ จ.นครสวรรค์ และ จ.กาญจนบุรี ระยะเวลาตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2554 ถึง มกราคม 2555 พบว่า หญิงตั้งครรภ์ที่ประกอบอาชีพเกษตรกร สามารถตรวจพบพาราควอตตกค้างในปัสสาวะ 81%  ส่วนหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพเกษตร สามารถตรวจพบพาราควอตตกค้างในปัสสาวะ 83%ขณะเดียวกัน พาราควอตและไกลโฟเซตยังสามารถผ่านจากมารดาไปสู่ตัวอ่อนในครรภ์ โดยพบการตกค้างของพาราควอตในซีรั่มทารกแรกเกิดและมารดา‪ระหว่าง 17-20‬% พบไกลโฟเซต ระหว่าง 49-54% และพบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมมีความเสี่ยงรับสารไกลโฟเซตมากกว่าคนทั่วไป 11.9 เท่าตามลำดับ และหากมีประวัติการขุดดินในพื้นที่เกษตร ยิ่งมีความเสี่ยงในการตรวจพบพาราควอต คิดเป็น 6 เท่าของหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีการขุดดิน และหญิงตั้งครรภ์ที่ทำงานในพื้นที่เกษตรกรรมช่วง 6-9 เดือนของการตั้งครรภ์ พบพาราควอตตกค้างมากกว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่ได้ทำงานถึง 5.4 เท่าและตรวจพบพาราควอตในขี้เทาเด็กทารกแรกเกิดสูงถึง 55% จากมารดา 51 คน

ศ.ดร.พรพิมล กองทิพย์ จากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า  ไม่ใช่แค่มารดาที่เป็นเกษตรกรที่มีความเสี่ยงเท่านั้น เพราะมีการพบสารพาราควอตในขี้เทาของทารกที่ไม่ได้มีมารดาเป็นเกษตรกร ซึ่งหมายความว่าไม่ว่าจะอยู่พื้นที่ไหนๆ ก็มีโอกาสได้รับสารพิษเหล่านี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งได้เสมอ ทั้งในอากาศ ในน้ำ จนถึงในดิน หรือกระทั่งการปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ ที่ส่งตรงจากแหล่งผลิตในพื้นที่เกษตรจนถึงมือผู้บริโภคขณะที่ผลการศึกษาของคลอร์ไพริฟอส ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า มีผลกระทบด้านพัฒนาการทางสมอง ซึ่งจากการเก็บข้อมูลของเกษตรกรยังพบว่า เกษตรกรได้รับคลอร์ไพริฟอสจากการหายใจสูงกว่าค่าระดับที่ปลอดภัยได้ และยังพบว่า มีคลอร์ไพริฟอสในขี้เทาทารกแรกเกิดร้อยละ 32.4 จากมารดา 68 คน และจากการเก็บตัวอย่างน้ำนมจากมารดา 51 คน มีคลอร์ไพริฟอสในน้ำนมมารดา 21 คน หรือร้อยละ 41.2 และมีทารกแรกเกิดได้รับเกินค่า ADI (Acceptable Daily Intake) สูงถึงร้อยละ 14.3

“ไกลโฟเซต เป็นอีกหนึ่งสารปราบศัตรูพืชที่สามารถผ่านจากมารดาไปสู่ตัวอ่อนในครรภ์ได้ ซึ่งจากผลการวิเคราะห์พบการตกค้างในซีรั่มมารดา ร้อยละ 54 และซีรั่มทารกแรกเกิด ร้อยละ 49 และหญิงตั้งครรภ์ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรยังมีความเสี่ยงในการรับไกลโฟเซตสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพนี้สูงถึง 11.9 เท่า และถ้าไปทำงานในพื้นที่เกษตรก็จะมีโอกาสตรวจพบไกลโฟเซตในซีรั่มมารดาได้” ศ. ดร.พรพิมล กล่าวสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นภัยมืดที่เรามองไม่เห็น ว่าหากมีการสัมผัสสารพวกนี้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ การอยู่ในพื้นที่ หรือการรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อน ย่อมส่งผลให้เป็นโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง เบาหวาน โรคผิวหนัง  เหตุนี้สังคมไทยจึงกำลังเผชิญกับความเสี่ยงด้านสารเคมี และมลพิษ ที่แม้แต่เด็กแรกเกิด จึงน่าจะต้องกลับมาทบทวน และปรับปรุงกลไกควบคุมสารเคมีกำจัดศัตรูพืช รวมถึงเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิต การบริโภค เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อไป

ร่วมแสดงความคิดเห็น