เชียงราย รวบสาวประเภทสอง หลอกชวนไปทำงานต่างประเทศ มีผู้เสียหาย 30 ราย

เวลาประมาณ 13.00 น. 10 เมษายน 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตํารวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ภายใต้การสั่งการของ พล.ต.ต.รณชัย จินดามุข ผบก.สอท.1 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษตรวจสอบ ได้ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ ตำรวจ สภ.พญาเม็งราย เข้าตรวจสอบบริเวณบนถนนทางสาธารณะบ้านสันหลวง หมู่ที่ 8 ต.แม่เปา อ.พญาเม็งราย จ.เชียงราย พบนายวิษณุ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของ ศาล จ.อุดรธานี ที่ 182/2563 ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “หลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถจัดหางาน หรือส่งคนไปฝึกงานในต่างประเทศ และได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง และ ฉ้อโกง” และอยู่ระหว่างหลบหนีการจับกุม มาอยู่ในพื้นที่ จ.เชียงราย โดย นายวิษณุ มีพฤติการณ์หลบหนีโดยไปเช่าโรงแรม และพักตามบ้านเพื่อน ในพื้นที่ อ.เทิง อ.เชียงของ และพื้นที่ อ.พญาเม็งราย จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และสั่งการให้ชุดสืบสวน สภ.เทิง และชุดสืบสวน สภ.ข้างเคียง ออกติดตาม

โดยเมื่อวันที่ 5 เม.ย. 64 เวลาประมาณ 14.40 น. ได้มีผู้เสียหายหลายรายได้เข้ามาขอความช่วยเหลือ กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการตํารวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (บก.สอท.1) เกี่ยวกับคดีหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถจัดหางาน หรือส่งคนไปฝึกงานในต่างประเทศ และได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง และฉ้อโกง ทางเจ้าหน้าที่ ทราบว่า ผู้ต้องหาคือ นายวิษณุ อยู่บ้าน หมู่ที่ 8 ต.ครึ่ง อ.เชียงของ จ.เชียงราย ซึ่งมีหมายจับของศาล จ.อุดรธานี และศาล จ.บึงกาฬ จากการสืบสวนทราบว่าผู้ต้องหาซึ่งเป็นสาวประเภทสอง พักอาศัยอยู่ที่แถว จ.เชียงราย จึงได้ติดตามจับกุม

จากการสืบสวนทราบว่า นายวิษณุ หลบหนีไปอยู่ที่บ้านเพื่อน ที่บ้านสันหลวง หมู่ที่ 8 ต.แม่เปา อ.พญาเม็งราย จ.เชียงราย จึงได้ร่วมกันเดินทางไปตรวจสอบที่บ้านดังกล่าว พอไปถึง พบ นายวิษณุ ผู้ต้องหา ยืนอยู่บริเวณหน้าบ้าน เมื่อ นายวิษณุ เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้วิ่งหลบหนี จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้วิ่งติดตามไป และสามารถควบคุมตัวได้ พร้อมควบตัวไปยัง สภ.พญาเม็งราย เพื่อทำการสอบสวน และบันทึก และนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

จากการสอบถามผู้เสียหายซึ่งมีประมาณ 30 คน มูลค่าความมเสียหายประมาณ ล้านกว่าบาท ทราบว่า ผู้ต้องหาจะใช้เฟซบุ๊กชื่อ “จิมมี่ คนหางานต่างประเทศ” โพสต์เชิญชวนไปทำงานต่างประเทศ พอมีคนสนใจทักไป มันก็ให้เบอร์ติดต่อโทรคุย พอคุยแล้วก็ให้แอดไลน์ใว้คุย และส่งเลขบันชีโอนเงินค่าทำวีซ่า ค่าทำประกัน บางคนไปลงทะเบียนไว้ที่กรมแรงงาน โดยแอบอ้างว่ามาจากกรมแรงงาน ติดต่อให้ไปทำงานที่ร้านนวด และมีงานสวนที่ประเทศออสเตรเลีย โดยอ้างว่ามีพี่สาวอยู่ที่ออสเตรเลีย แล้วมีสามีอยู่ที่ออสเตรเลีย และให้คุยกับฝรั่งพูดไทยได้ โดยติดต่อกันทางโทรศัพท์ จากนั้นก็ติดต่อทางไลน์ แล้วได้ให้ข้อมูลส่วนตัว โดยให้โอนเงินค่าทำวีซ่า 25,000 บาท และมีค่าประกันโควิดอีก 15,000 บาท โดยแต่ละคนจะโดนหลอกให้โอนไม่เท่ากัน แต่จะไม่ต่ำกว่า4-5 หมื่นต่อคน และยังทราบว่า ตัวผู้ต้องหาเคยโดนจับดำเนินคดีเดียวกันนี้ 6-7 คดี และเพิ่งออกจากเรือนจำมาได้ไม่นาน ก็กลับมาทำพฤติการดังกล่าวอีก

ทางเจ้าหน้าที่ได้ฝากไปยังผู้ที่อยากไปทำงานต่างประเทศ โดยเฉพาะการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการโฆษณาจัดหางาน และอาศัยความเดือดร้อนของประชาชน ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ในการชักชวนคนหางานไปทำงานต่างประเทศ ให้จ่ายเงินเกินจริง และอ้างว่าสามารถพาไปทำงานได้ รวมทั้ง อ้างว่าทำงานในหน่วยงานของรัฐหรือเป็นบริษัทจัดหางาน ที่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย จะดีที่สุด ผู้กระทำความผิดจะดำเนินคดีตามมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติจัดหางาน และคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 อย่างจริงจัง ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ที่หลอกลวงคนหางานว่าสามารถหางาน หรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศ จะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี ปรับตั้งแต่ 60,000- 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ณัฐวัตร ลาพิงค์/เชียงราย

ร่วมแสดงความคิดเห็น