เจ้าของตลาดสามแยกสันทราย ออกชี้แจงกรณีข่าวบิดเบือน “พบผู้ติดเชื้อในตลาด” ยันไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคนติดเชื้อ

จากกรณีการปรากฎข่าวบิดเบือนข้อเท็จจริง ที่มีผู้ไม่หวังดีใช้อินโฟกราฟิก และระบุเนื้อหาภายในแจ้งว่า “พบผู้ติดเชื้อโควิด เชียงใหม่ออกคำสั่งงดใช้สถานที่ชั่วคราว ปิดตลาดสามแยกสันทราย เป็นเวลา 3 วัน ตั้งแต่ 12 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป” พร้อมทั้งระบุโลโก้ สำนักข่าว “เชียงใหม่นิวส์” ส่งผลทำให้ผู้ที่พบเห็นข้อมูลดังกล่าว เกิดความเข้าใจผิดและวิตกกังวล จากกรณีข่าวดังกล่าวที่ปรากฎขึ้น และจากการตรวจสอบพบว่าไม่เป็นความจริง

รวมทั้งสถานที่ดังกล่าว ไม่ได้เกิดการแพร่ระบาดหรือการพบผู้ติดเชื้อตามข่าวที่ปรากฎแต่อย่างใด จึงทำให้ตลาดพื้นที่ได้รับความเสียหาย จากข่าวลือ บิดเบือนความจริงที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังส่งผลต่อชื่อเสียงของทางสำนักข่าวต้นสังกัดอีกด้วย

ขณะที่ล่าสุดหลังเกิดเหตุ ทางด้าน ดร.เกษม ปารมีศิลป์ขจร เจ้าของตลาดสามแยก สันทราย จ.เชียงใหม่ ได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้นว่า จากการที่ปรากฎข่าวบิดเบือนข้อเท็จจริงที่ระบุว่า ทางตลาดนั้นมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และต้องทำการปิดตลาดตามที่ปรากฎไปนั้น ส่งผลทำให้ทางตลาดได้รับผลกระทบทั้งทางด้านชื่อเสียง และความเชื่อมั่นของประชาชน ทั้งๆ ที่ผ่านมาทางตลาดนั้นไม่เคยมีผู้ติดเชื้อ ทั้งบรรดา พ่อค้า-แม่ค้า และประชาชนลูกค้าที่มาจับจ่ายซื้อของ แต่จากข่าวดังกล่าวที่ปรากฎ ก็ทำให้ประชาชนที่เข้ามาใช้บริการเกิดความหวาดระแวง และไม่กล้าเข้ามาจับจ่ายซื้อของ ซึ่งในเรื่องนี้ ตนยืนยันว่าตลาดไม่ได้มีผู้ติดเชื้อ หรือมีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 แต่อย่างใด และทางตลาดยังคงมีมาตรการที่คุมเข้มอย่างชัดเจน และถูกต้องตามระเบียบของสาธารณสุขทั้งหมด

เจ้าของตลาดสามแยก กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นนี้ ตนก็อยากให้ทางสำนักข่าว เชียงใหม่นิวส์ ได้มีการดำเนินการกับผู้ก่อเหตุ ที่นำข่าวนี้มาเผยแพร่ สร้างความเดือดร้อนให้ทั้งตลาด และทั้งต้นสังกัดเชียงใหม่นิวส์ อย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง หรือมีการนำข้อมูลข่าวในลักษณะนี้มาแอบอ้างอีก ซึ่งในส่วนของตนนั้น ก็ได้มีการชี้แจงประชาสัมพันธ์กับประชาชนในพื้นที่ให้เกิดความเข้าใจไปแล้ว แต่ในส่วนของคดีความนั้น ตนอยากให้ทางเชียงใหม่นิวส์เป็นผู้ดำเนินการ เพราะเป็นผู้เสียหายโดยตรงที่ถูกนำชื่อเสียงมาแอบอ้างให้เกิดความเสียหาย และไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้ขึ้นอีก

ร่วมแสดงความคิดเห็น