หมอดูสาวเชียงใหม่ เตือนภัยโดนมิจฉาชีพ แฮกเฟซบุ๊กส่วนตัว ส่งข้อความลวงยืมเงิน

หมอดูสาวเชียงใหม่เตือนภัย โดนมิจฉาชีพแฮกเฟซบุ๊กส่วนตัว ส่งข้อความไปลวงยืมเงินจากเพื่อนฝูงคนรู้จักและลูกศิษย์ จนหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อหลายราย

เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2564 น.ส.วทันยา อาธิพรม หรือ “หมอหน่อย” อายุ 47 ปี หมอดูชื่อดังในจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า วานนี้ (15 พ.ย. 64) เข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ เนื่องจากไม่สามารถเข้าใช้งานเฟซบุ๊กส่วนตัวชื่อ “Watanya Artiprom” ได้ และเมื่อตรวจสอบอย่างละเอียด พบว่าถูกมิจฉาชีพแฮกเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ชื่อดังกล่าวไป ซึ่งคาดว่าน่าจะโดนตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ 14 พ.ย. 64 เนื่องจากผู้ใช้เฟซบุ๊กของเพื่อน ส่งข้อความมาถามหมายเลขโทรศัพท์ของตัวเอง และรหัสยืนยันตัวตน โดยตัวเองไม่ทันได้เอะใจและเข้าใจว่าเป็นขั้นตอนที่เฟซบุ๊กกำลังให้ดำเนินการอยู่ในช่วงนี้ จึงหลงเชื่อและบอกไปเพราะไม่ทราบว่าเพื่อนน่าจะถูกแฮกเฟซบุ๊กไปก่อนแล้ว

ทั้งนี้หลังจากเฟซบุ๊กของตัวเองถูกแฮกไปแล้ว มิจฉาชีพรายนี้ได้สวมรอยแอบอ้างเป็นตัวเองส่งข้อความไปขอยืมเงิน จากเพื่อนฝูงคนรู้จักและลูกศิษย์ที่นับถือกันหลายราย รายละ 8,000 บาท โดยให้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย ชื่อ นายชนกพงษ์ ซึ่งมีหลายรายทั้งที่อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ และกรุงเทพฯ รวมทั้งต่างจังหวัดหลงเชื่อ ตกเป็นเหยื่อโอนเงินให้เท่าที่ทราบรวมกันแล้วหลายหมื่นบาท

นอกจากนี้ มิจฉาชีพรายนี้ยังได้แฮคเพจเฟซบุ๊ก “บ้านศรีฆเณศ ดูดวง อ.ชนิกา อ.วทันยา แม่นเวอร์” ที่มีผู้ถูกใจและติดตามเกือบ 30,000 ราย ซึ่งเป็นของตัวเอง และ “อ.ชนิกา” หรือ นางชนิกา อภิชัย อายุ 59 ปี แม่ของดารานักแสดงหนุ่มชื่อดัง “แทค ภรัณยู” ด้วย ทำให้ตัวเองไม่สามารถเข้าใช้งานและควบคุมดูเพจดังกล่าวได้ พร้อมกับที่มิจฉาชีพรายนี้ ได้โพสต์แอบอ้างขอรับบริจาคเงินเพื่อสร้างท้าวเวสสุวรรณ สูง 2.5 เมตร จำนวน 2 องค์ นำไปตั้งหน้าวัด โดยให้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย ชื่อ นายชนกพงษ์ เช่นกัน

โดยน่าจะมีผู้หลงเชื่อโอนเงินให้จำนวนมากเหมือนกัน แต่ไม่แน่ใจว่าเท่าใด ทั้งนี้โพสต์ที่แอบอ้างดังกล่าว ได้ให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ด้วย ซึ่งเมื่อโทรไปพบว่าเป็นเบอร์ของเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ภาคกลาง และทางวัดมีการเปิดรับบริจาคจริง แต่หมายเลขบัญชีธนาคารที่มิจฉาชีพโพสต์นั้น ไม่ใช่ของทางวัด โดยเวลานี้ทางวัดทราบเรื่อง และได้ประกาศแจ้งเตือนภัยไม่ให้คนใจบุญหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อเพิ่มแล้ว

สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นในครั้งนี้นั้น น.ส.วทันยา กล่าวว่า อยากแจ้งเตือนภัยไปยังกลุ่มเพื่อนฝูงคนรู้จักและลูกศิษย์ ที่นับถือกันทั้งหลายว่า หากมีข้อความส่งจากเฟซบุ๊กของตัวเองไปขอยืมเงิน ก็อย่าได้หลงเชื่อโอนเงินให้โดยเด็ดขาด เช่นเดียวกับที่อย่าได้หลงเชื่อโอนเงินร่วมบริจาค ให้ตามที่มีการโพสต์ลงบนเพจ เพราะเป็นการกระทำของมิจฉาชีพที่แฮกเฟซบุ๊ก ไปแอบอ้างดำเนินการ ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น พบว่าเลขบัญชีและชื่อบัญชีดังกล่าวนี้ มีการนำไปใช้โพสต์เปิดรับบริจาคในโซเชียลมีเดียหลายครั้งแล้ว โดยเชื่อว่าน่าจะเป็นการกระทำของมิจฉาชีพกลุ่มเดียวกัน

ทั้งนี้อยากวิงวอนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้สืบสวนติดตามจับกุมตัวมิจฉาชีพรายนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว เพื่อไม่ให้ไปก่อเหตุสร้างความเสียหายและเดือดร้อนมากไปกว่านี้ ซึ่งไม่น่าจะยากเพราะมีข้อมูลเบาะแสพอสมควร โดยเฉพาะชื่อและบัญชีธนาคาร อีกทั้งจนถึงเวลานี้มิจฉาชีพรายนี้ ก็ยังคงใช้งานเฟซบุ๊กที่แฮกไปหลอกเหยื่ออยู่ตลอดด้วย พร้อมทั้งอยากให้กรณีของตัวเองเป็นอุทาหรณ์ ในการระมัดระวังเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลด้วยว่าต้องตรวจสอบให้ดีก่อนทุกครั้ง แม้กับคนรู้จักสนิทสนม

ขณะที่ น.ส.นิด (นามสมมติ) อายุ 47 ปี อาชีพนักธุรกิจ ชาว อ.สันกำแพง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับ น.ส.วทันยา และตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อโอนเงินให้มิจฉาชีพรายนี้ เปิดเผยว่า ช่วงบ่ายวานนี้ระหว่างกำลังจะเข้าพบแพทย์ ได้รับข้อความทางเฟซบุ๊กจากเฟซบุ๊กของ น.ส.วทันยา โดยไม่ทราบว่าถูกแฮกไปแล้วแจ้งว่า มีความจำเป็นต้องใช้เงินและขอยืมเงิน จำนวน 8,000 บาท จากที่ตัวเองมีในบัญชีทั้งหมด 12,000 บาท ซึ่งจะคืนให้ในช่วงเย็น จึงรีบโอนให้ทันทีเพราะความสนิทสนมกันและเป็นห่วงเพื่อน ต่อมาปรากฏว่ายังมีข้อความขอยืมเงินเพิ่มอีก 4,000 บาท จนหมดบัญชี ทำให้ตัวเองรู้สึกผิดสังเกตและโทรศัพท์สอบถาม น.ส.วทันยา ทันที จึงทราบว่าถูกมิจฉาชีพหลอก

จากนั้นได้รีบติดต่อธนาคารเพื่อขออายัดเงินที่โอนไป แต่ธนาคารไม่สามารถทำให้ได้ และต้องให้ไปแจ้งความก่อน ซึ่งหลังจากนั้นได้ไปแจ้งความแล้ว แต่ก็ไม่สามารถอายัดเงินคืนกลับมาได้อยู่ดี ทั้งนี้จากกรณีที่เกิดขึ้นไม่คาดหวังว่าจะได้รับเงินคืนแล้ว แต่อยากเรียกร้องให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ติดตามจับกุมตัวมิจฉาชีพรายนี้มาลงโทษตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว เพราะมีข้อมูลหลักฐานค่อนข้างชัดเจน ทั้งชื่อบัญชีและหมายเลขบัญชีธนาคาร เพื่อไม่ให้ไปก่อเหตุสร้างความเดือดร้อนเสียหายมากไปกว่านี้

ร่วมแสดงความคิดเห็น