ป่าไม้เข้าตรวจยึดไม้สักท่อนตัดจากสวนข้าวโพดทำเป็นโรงรถที่บ้านแป้น ต.เวียงต้า อ.ลอง

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2564 เวลา 16.00 น.เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกัน และปราบปรามที่ 3 ภาคเหนือ กรมป่าไม้ จนท.ชุดปฎบัติการพิเศษป่าไม้ ภาคเหนือ 6 จนท.หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ พร.10(แม่ต้า)
ตำรวจร้อย ตชด.323 กก.ตชด.32 (พะเยา)ตำรวจ สภ.เวียงต้าตำรวจ กก.4 บก.ปทส.ฝ่ายปกครองจังหวัดแพร่ ฝ่ายปกครองอำเภอลอง ฝ่ายปกครอง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1ได้ร่วมกันจับกุม
นางนิตยา อายุ 53 ปี บ้านหมู่ที่ 1 ตำบลเวียงต้า อำเภอลอง จังหวัดแพร่
ได้ร่วมกันทำการตรวจยึด ไม้สักท่อน จำนวน 6 ท่อน ปริมาตร 1.70 ลบม. คิดเป็นค่าเสียหายของรัฐเป็นเงิน 102,000 บาท (หนึ่งแสนสองพันบาทถ้วน)


โดยกล่าวหาว่ากระทำผิด ตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 1- ฐาน “ทำไม้หรือเจาะ หรือสับ หรือเผา หรือทำอันตรายด้วยประการใด 1 แก่ไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ , มาตรา 69 ฐาน
“มีไม้สักไว้ในครอบครองโดยไม่ใด้รับอนุญาต”
ตาม พระราชบัญญัติปัาสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14 ฐาน “ทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต”.
การจับกุมในครั้งนี้เกิดจากเจ้าหน้าที่ใด้ร่วมกันออกตรวจปราบปรามการกระผิดกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้โดยเดินทางด้วยรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ของทางราชการ
ตามที่ได้ร้องเรียนมายังหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ พร.10 (แม่ต้า) ความว่า ด้วยนาย ส.ท.พรมมา สมาชิกสภาเทศบาลตำบลเวียต้า เขตที่ 1 หมู่ที่ 1 บ้านแป้นได้มีการลักลอบน้ำไม้เถื่อนมา


ปลูกสร้าง และแปรรูปภายในบ้านน่าจะเป็นไม้ที่ได้มาไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงขอร้องเรียนเพื่อเข้าทำการตรวจสอบและข้อเท็จจริงดำเนินการต่อไป ได้แจ้งให้คณะเจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าว
จนท.จึงได้สนธิกำลังเข้าทำการตรวจสอบพื้นที่ตามที่ได้รับแจ้ง ผลการตรวจสอบปรากฎดังนี้
เมื่อจนท.เดินทางมาถึงยังจุดตามที่ได้รับแจ้ง ได้ประสาน
พนักงานสอบสวน สภ.เวียงต้ และนายต๋อย เมฆแสน ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1มาร่วมตรวจสอบตามที่ได้รับแจ้ง โดยอาศัยมาตรา 96 (4) “เมื่อมีพยานหลักฐานตามสมควรว่าสิ่งของที่มีไว้เป็นความผิดหรือได้มา
โดยการกระทำความผิดหรือได้ใช้หรือมีไว้เพื่อจะใช้ในการกระทำความผิด หรืออาจเป็นพยานหลักฐาน
พิสูจน์การกระทำความผิดได้ช่อนหรืออยู่ในนั้น ประกอบทั้งต้องมีเหตุอันควรเชื่อว่าเนื่องจากการเนิ่นช้า
กว่าจะเอาหมายคันมาได้สิ่งของนั้นจะถูกโยกย้ายหรือทำลายเสียก่อน”


เมื่อเดินทางมาถึงหน้าบ้านตามที่ได้รับแจ้ง บริเวณบ้านมีรัวรอบขอบชิด ซึ่งประตูบ้านได้เปิดอยู่จนท.จึงให้นายต๋อย เมฆแสน ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ประสานงานกับเจ้าของบ้านทราบชื่อภายหลังว่า
นางนิตยา (สงวนนาสมกุล)ก่อนที่จะเข้าตรวจสอบตามที่ได้รับแจ้ง ขี่งนางนิตยา ยินยอม และยินดีให้เข้าตรวจสอบภายในบริเวณบ้านโดยละเอียด
เมื่อจนท.เข้าตรวจสอบพบไม้สักท่อน จำนวน 6 ท่อน โดยไม้สักท่อนดังกล่าวมีลักษณะเป็นสิ่ง
ปลูกสร้างทำเป็นเสาเพื่อสร้างโรงจอดรถ และไม้ดังกล่าวไม่ปรากฏรูปรอยดวงตราของพนักงานเจ้าหน้าที่ตีประทับเพื่อเป็นการแสดงการอนุญาตแต่อย่างใด และไม่ปรากฎรูปรอยดวงตราของรัฐบาลขาย และไม่
มีรูปรอยดวงตราของสวนป่าเอกชนแต่อย่างใด
โดยนางนิตยา ให้การว่าไม้สักที่ตัดมานั้น เพื่อประกอบเป็นสิ่งปลูกสร้างโรงรถ ที่สร้างไว้แต่ยังไม่แล้วเสร็จ ตรวจสอบบริเวณรอบๆบ้านไม่พบการแปรรูปไม้ในบริเวณบ้าน ตามหนังสือร้องเรียนแต่อย่างใด
จนท.จึงได้สอบถามนางนิตยา เกี่ยวกับไม้สักท่อนดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตรวจพบ นางนิตยา ให้การว่าไม้สักดังกล่าวตนเองไปตัดมาจากสวนข้าวโพดของตนเอง และ ตนเองตัดมาเพื่อต่อเติมโรงจอดรถ แต่ยังไม่แล้วเสร็จ
ต่อมาจนท.ได้เดินทางไปตรวจสอบต้นตอของไม้สักท่อนที่พบร่วมกับพนักงานสอบสวนโดยมีนางนิตยา นำตรวจสอบภายในสวนข้าวโพดที่ตนเองตัดพบว่าไม้สักที่ตัดมา ตรงตามตอไม้ที่จนท.ไปตรวจสอบภายในสวนข้าวโพด พบตอไม้สักจำนวน 3 ตอ ได้ค่าพิกัดและหาค่าพิกัดทางภูมิศาสตร์ด้วยระบบสัญญาณดาวเทียม (GPS) จับค่าพิกัดบริเวณ
ตรวจสอบตอไม้สัก ได้ค่าพิกัดดัง บริเวณรอบๆ

เกษตรกรรม (ปลูกข้าวโพด)
เมื่อนำค่าพิกัดดังกล่าวลงในแผนที่พบว่าบริเวณพิกัดดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ต้าตอนขุน
ชุดจับกุมจึงได้แจ้งให้นางนิตยา ทราบว่าต้องถูกจับตามข้อกล่าวหาข้างต้นพร้อมทั้งแจ้ง สิทธิ์ของผู้ถูกจับให้ทราบ
ได้แจ้งให้ผู้ถูกจับกุมทราบว่าต้องถูกจับกุมและนำตัวส่งพนักงานสอบสวนสภ.เวียงต้าพร้อมด้วยของกลางทั้งหมด

ร่วมแสดงความคิดเห็น