ข่าวจริง! พาณิชย์ขึ้นบัญชีคาร์ซีทเข้า Watch List

ข่าวจริง! พาณิชย์ขึ้นบัญชีคาร์ซีทเข้า Watch List เพื่อป้องกันการปรับราคาเกินควร ฝ่าฝืนติดคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสน บาท

วันที่ 17 พ.ค. 65 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับการยืนยันว่าเป็นข่าวจริง เพิ่มเติม 1 กรณีคือ

กรณีที่มีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับประเด็นเรื่อง พาณิชย์ขึ้นบัญชีคาร์ซีทเข้า Watch List เพื่อป้องกันการปรับราคาเกินควร ฝ่าฝืนติดคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสน บาท ทางศูนย์ต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลจริง

จากที่พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 ได้กำหนดให้ผู้โดยสารที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องนั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กหรือที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตราย (Car Seat) กรมการค้าภายใน ได้หารือกับห้างค้าปลีกค้าส่งและแพลตฟอร์ม เพื่อติดตามสถานการณ์การจำหน่ายสินค้า Car Seat ซึ่งจากการหารือดังกล่าว ห้างและแพลตฟอร์มต่างๆ ยืนยันว่าไม่มีการปรับขึ้นราคาจำหน่ายสินค้า Car Seat รวมทั้งมีการจัดโปรโมชั่นลดราคาอย่างต่อเนื่อง และหากผู้ผลิตขอปรับขึ้นราคาจำหน่ายก็จะแจ้งให้กรมฯ ทราบก่อน ส่วนห้างที่ยังไม่มีสินค้า Car Seat วางจำหน่าย ก็รับที่จะไปพิจารณาวางแผนการจำหน่ายต่อไป เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชน

อย่างไรก็ตาม กรมฯ ได้กำหนดให้สินค้า Car Seat เป็นหนึ่งในสินค้าที่ติดตามดูแล (Watch List) ประจำเดือนพฤษภาคม ซึ่งจะมีการติดตามสถานการณ์ราคาจำหน่ายอย่างใกล้ชิด กรณีที่มีการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร อาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากพบการฉวยโอกาสในลักษณะดังกล่าวประชาชนสามารถแจ้งได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ

ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตามข่าวสารจากกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ที่เว็บไซต์ www.dit.go.th หรือโทรสายด่วน 1569

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ขึ้นบัญชีคาร์ซีทเข้า Watch List เพื่อป้องกันการปรับราคาเกินควร ฝ่าฝืนติดคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสน บาท

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า การผลิตข่าวปลอม สร้างข่าวบิดเบือน ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ประชาชนสับสน เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2),(5) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ผลิตข่าวปลอมและผู้ที่เผยแพร่ทุกรายอย่างเด็ดขาดจริงจังและต่อเนื่องต่อไป
ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบข้อมูลการกระทำผิด สามารถแจ้งเบาะแสข่าวผ่าน
5 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com, เฟซบุ๊ก ANTI-FAKE NEWS CENTER, ทวิตเตอร์ @AFNCThailand, ไลน์ @antifakenewscenter, ช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 และสายด่วน 1599 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”

ร่วมแสดงความคิดเห็น