ส่งออกบริการ…แรงขับเคลื่อน ศก.ที่ช่วยพยุงภาคการส่งออก

111

ในภาวะที่เครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยหลายตัวซบเซาทั้งการส่งออกสินค้า การลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการบริโภคภาคเอกชน แต่การส่งออกบริการกลับช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยให้สามารถเติบโตได้ โดยในช่วงปี 2012-2015 การส่งออกบริการของไทยขยายตัวได้เฉลี่ยร้อยละ 7.2 ต่อปี โดยได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของบริการท่องเที่ยวเป็นหลักซึ่งเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 9.6 ต่อปี ส่งผลให้การส่งออกบริการของไทยสามารถหนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เฉลี่ยร้อยละ 1.5 ต่อปี (Contribution to GDP growth)

แม้การส่งออกบริการจะขยายตัวในระดับสูง แต่ในช่วงปี 2017-2019 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะยังไม่สามารถทดแทนการส่งออกสินค้าได้ แต่จะเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่ช่วยชดเชยส่วนของการส่งออกสินค้าที่หดตัว ทำให้สัดส่วนมูลค่าส่งออกรวมต่อจีดีพีไม่เปลี่ยนแปลง

ในภาวะที่การค้าโลกชะลอตัว สะท้อนผ่านการส่งออกสินค้าที่หดตัวลงอย่างต่อเนื่อง แต่การส่งออกบริการกลับขยายตัวสูง กล่าวคือ ในช่วงปี 2012-2015 มูลค่าส่งออกรวม (สินค้าและบริการ) ของโลกหดตัวเฉลี่ยร้อยละ 2.7 ต่อปี (จากที่เคยขยายตัวได้เฉลี่ยร้อยละ 9.8 ต่อปี ในช่วงปี 2005-2011) โดยได้รับอิทธิพลจากมูลค่าส่งออกสินค้าของโลกที่หดตัวร้อยละ 3.9 ต่อปี เนื่องจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจปี 2008 ช้า อีกทั้งภาวะราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวในระดับต่ำ รวมถึงการปรับโครงสร้างการผลิตของหลายประเทศ ที่เน้นการผลิตในประเทศมากขึ้น เพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้มีการค้าระหว่างประเทศลดลง สวนทางกับมูลค่าส่งออกบริการ ของโลกที่ยังสามารถขยายตัวได้เฉลี่ยร้อยละ 1.9 ต่อปี

สำหรับประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ในช่วงเวลาดังกล่าว มูลค่าส่งออกสินค้าหดตัวเฉลี่ยร้อยละ 2.2 ต่อปี สวนทางกับมูลค่าส่งออกบริการที่ยังสามารถเติบโตได้เฉลี่ยร้อยละ 7.2 ต่อปี ขยายตัวสูงเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มอาเซียน 5 ประเทศ รองจากประเทศฟิลิปปินส์ ส่งผลให้มูลค่าส่งออกรวมของไทยติดลบเพียงร้อยละ 0.4 ต่อปี ซึ่งดีกว่าประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ที่มูลค่าส่งออกรวมเฉลี่ยติดลบร้อยละ 5.3 4.2 และ 7.5 ต่อปี ตามลำดับ

222โครงสร้างการส่งออกบริการของไทยมีความคล้ายคลึงกับโครงสร้างการส่งออกบริการของโลก รวมถึงประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย กล่าวคือ บริการท่องเที่ยว บริการด้านวิชาชีพ และบริการขนส่ง เป็น 3 บริการหลักที่มีสัดส่วนขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับมูลค่าส่งออกบริการทั้งหมด ขณะที่ประเทศสิงคโปร์และฟิลิปปินส์มีความแตกต่างออกไป โดยสิงคโปร์ส่งออกบริการขนส่ง บริการวิชาชีพ และบริการทางการเงินเป็นหลัก ในส่วนของประเทศฟิลิปปินส์ส่งออกบริการวิชาชีพ บริการท่องเที่ยว และบริการโทรคมนาคมและที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก

นอกจากนี้ โครงสร้างการส่งออกบริการของไทยในปี 2010 และ 2015 ไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ในปี 2015 ไทยพึ่งพาการส่งออกบริการท่องเที่ยวมากขึ้น สะท้อนจากสัดส่วนมูลค่าส่งออกบริการท่องเที่ยวต่อมูลค่าส่งออกบริการทั้งหมดอยู่ที่ร้อยละ 72.9 เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.5 จากปี 2010 ขณะที่สัดส่วนของมูลค่าส่งออกบริการธุรกิจอื่นๆ และบริการขนส่ง อยู่ที่ร้อยละ 14.6 และ 9.4 ลดลงร้อยละ 23.9 และ 45.4 จากปี 2010 ตามลำดับ

หากพิจารณาการเติบโตของทั้ง 3 บริการหลักที่ไทยส่งออก พบว่า ในช่วงปี 2012-2015 มูลค่าส่งออกบริการท่องเที่ยวขยายตัวสูงที่สุด ร้อยละ 9.6 ต่อปี ขณะที่มูลค่าส่งออกบริการธุรกิจอื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 ต่อปี และมูลค่าส่งออกบริการขนส่งหดตัวร้อยละ 1.0 ต่อปี ทั้งนี้ สาเหตุหลักที่หนุนให้การส่งออกบริการท่องเที่ยวเติบโตในอัตราสูงมาจากการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวจีน โดยในช่วงปี 2012-2015 เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 41.7 ต่อปี โดยในปี 2015 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยราว 7.9 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 3.8 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26.0 ของรายได้จากการส่งออกบริการท่องเที่ยวทั้งหมด นอกจากนี้ ยังได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของค่าเงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2012-2015 สำหรับการส่งออกบริการขนส่งที่หดตัวลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลของการชะลอตัวของการค้าโลก ที่ทำให้มีการค้าระหว่างประเทศลดลง ทำให้ความต้องการบริการขนส่งลดลงตามไปด้วย อีกทั้งยังได้รับแรงกดดันจากราคาค่าขนส่งที่เคลื่อนไหวไปตามราคาน้ำดับดิบ และการขยายตัวของสายการบินต้นทุนต่ำ ที่ส่งผลให้มูลค่าส่งออกบริการขนส่งลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะราคาค่าขนส่งถูกลง

444ในช่วงปี 2012-2015 เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยหลายตัว อย่างการบริโภคภาคเอกชน การลงทุน หรือแม้แต่การส่งออกสินค้า ไม่สามารถหนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เช่นในอดีต สวนทางกับการส่งออกบริการที่ขยายตัวในอัตราสูง และยังช่วยพยุงให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่อไปได้ กล่าวคือ ถ้าการส่งออกบริการขยายตัวร้อยละ 1.0 จะหนุนให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ณ ราคาคงที่ (จีดีพี) เติบโตได้ร้อยละ 0.2 ขณะที่ถ้าการส่งออกสินค้าเติบโตร้อยละ 1.0 จะสนับสนุนให้จีดีพีขยายตัวได้ร้อยละ 0.6 จะเห็นได้ว่าจากอัตราการขยายตัวที่เท่ากัน แรงส่งของการส่งออกบริการไปยังจีดีพีจะต่ำกว่า เนื่องจากสัดส่วนของการส่งออกบริการในจีดีพีน้อยกว่ากว่าการส่งออกสินค้า

แม้สัดส่วนของการส่งออกบริการต่อจีดีพีจะต่ำกว่าการส่งออกสินค้าแต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี สวนทางกับสัดส่วนของการส่งออกสินค้าต่อจีดีพี ที่หดตัวลดอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2012-2015 การส่งออกบริการมีสัดส่วนเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 15.8 ของจีดีพี ขณะที่การส่งออกสินค้ามีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 61.3 ของจีดีพี อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการส่งออกบริการต่อจีดีพีมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 6.7 ต่อปี สวนทางกับสัดส่วนการส่งออกสินค้าต่อจีดีพีที่หดตัวอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยร้อยละ 3.0 ต่อปี

333สำหรับในระยะ 3 ปีข้างหน้า (2017-2019) ภายใต้สมมติฐานที่มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยเติบโตในระดับต่ำเฉลี่ยร้อยละ 0.7 ต่อปี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าส่งออกบริการของไทยจะต้องเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 12.9 ต่อปี เพื่อช่วยชดเชยมูลค่าการส่งออกสินค้าที่หายไป และรักษาสัดส่วนมูลค่าส่งออกรวมต่อจีดีพีในระดับค่าเฉลี่ยเมื่อ 5 ปีก่อนหน้านี้ ที่ราวร้อยละ 77 ของจีดีพี โดยเครื่องมือที่จะทำให้การส่งออกบริการขยายตัวในอัตราดังกล่าวข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า รัฐบาลควรจะใช้การท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก เนื่องจากไทยมีศักยภาพทั้งในด้านทรัพยากรธรรมชาติ และความคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของการท่องเที่ยวในระยะถัดไป คือ การแข่งขันจะเพิ่มมากขึ้น เพราะหลายประเทศโดยเฉพาะในอาเซียนที่ต้องการใช้การท่องเที่ยวหนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจเช่นกัน ดังนั้น การทำนโยบายด้านการท่องเที่ยวในระยะถัดไปควรมุ่งเน้นไปยังตลาดนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมากขึ้น เช่น ตลาดจีนหรือกลุ่มอาเซียนที่มีกำลังซื้อรายได้ปานกลางขึ้นไป หรือสร้างเรื่องราวผ่านสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อให้เกิดการเดินทางมาท่องเที่ยวซ้ำ เช่น กรณีของประเทศญี่ปุ่น ที่แต่ละเมืองจะมีความโดดเด่นเฉพาะตัว ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปเที่ยวซ้ำ เป็นต้น หรือการใช้แนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวไปกับกิจกรรมอื่นๆ เช่น ท่องเที่ยวเชิงกีฬา เช่น มวยไทย กอล์ฟ เป็นต้น หรือท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น นอกจากนี้ ไทยอาจจะใช้ความได้เปรียบด้านโครงสร้างพื้นฐานในการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกลุ่มอินโดจีน หรือซีแอลเอ็มวี เป็นต้น

สำหรับในระยะปานกลางถึงยาวนั้น การจะคาดหวังให้บริการท่องเที่ยวหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างที่ผ่านมาอาจจะเป็นเรื่องยาก เพราะอัตราการขยายตัวของการส่งออกบริการท่องเที่ยวน่าจะไม่หวือหวาเท่าในอดีต และยังต้องเผชิญกับการแข่งขันอย่างเข้มข้นจากประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น รัฐควรสนับสนุนบริการอื่นๆ ให้มีความสำคัญควบคู่ไปกับบริการท่องเที่ยว เพื่อเป็นการสร้างตัวขับเคลื่อนทางเลือกใหม่ๆ ในการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าบริการก่อสร้าง บริการขนส่ง และบริการวิชาชีพ เป็นบริการที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออก เนื่องจากมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีนโยบายสนับสนุนจากทางภาครัฐ

555บริการที่มีศักยภาพ อัตราการขยายตัวในช่วงปี 2012-2015 ตัวอย่างโอกาสทางธุรกิจ บริการก่อสร้าง ร้อยละ 6.6 ต่อปี อสังหาริมทรัพย์ การก่อสร้างที่อยู่อาศัยในประเทศเพื่อนบ้าน ตามการขยายตัวของความเป็นเมือง (Urbanization) ส่งผลให้ธุรกิจรับสร้างบ้านของไทยน่าจะได้ประโยชน์ โครงการสาธารณูปโภค การเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะโครงการที่รัฐบาลหรือเอกชนไทยเข้าไปร่วมลงทุนด้วยบริการวิชาชีพ ร้อยละ 5.8 ต่อปี ศูนย์อบรมบุคลากร (Regional Training Center) จากการขยายตัวการออกไปลงทุนในต่างประเทศของทั้งธุรกิจไทยและธุรกิจต่างชาติที่มีสาขาในไทย ซึ่งมักจะส่งแรงงานหรือพนักงานในประเทศที่ธุรกิจไปลงทุนมาฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกอบรมในไทยบริการขนส่ง ภาพรวมหดตัวร้อยละ 1.0 ต่อปีแต่การขนส่งทางถนนมีการขยายตัว และในระยะข้างหน้ายังได้รับอานิสงส์จากนโยบายภาครัฐ ขนส่งทางอากาศ จากการขยายตัวของการท่องเที่ยวในไทยและในกลุ่มประเทศอินโดจีนที่การขนส่งอาจจะยังไม่สะดวก อีกทั้งนโยบายของรัฐที่จะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการบำรุงรักษาอากาศยานในภูมิภาค (Maintenance Repair and Overhaul หรือ MRO)
ขนส่งทางบก จากการขยายตัวของการค้าชายแดนจะหนุนให้มีการขนส่งสินค้าข้ามแดนผ่านถนนมากขึ้นบริการเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ ยังไม่มีตัวเลขเป็นทางการของธุรกิจกลุ่มนี้ ดิจิทัลคอนเทนท์ เช่น เกมส์ แอนิเมชั่น หรือรายการโทรทัศน์ เป็นต้น น่าจะมีโอกาสมากขึ้นจากนโยบายของภาครัฐที่จะผลักดันในระยะข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายอีกประการของการคาดหวังให้การส่งออกบริการมีบทบาทเพิ่มขึ้นต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย คือ การพัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูลให้ครอบคลุมรูปแบบการส่งออกบริการที่เกิดขึ้น โดยอาจจะมีการสร้างระบบการจัดเก็บข้อมูลส่งออกบริการในลักษณะเดียวกับการส่งออกสินค้า หรืออาจจะประยุกย์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยในการจัดเก็บข้อมูล เนื่องจากในปัจจุบันมูลค่าส่งออกบริการในบางรูปแบบไม่ได้ถูกนับรวมอยู่ในการส่งออกบริการ เช่น การออกไปให้บริการก่อสร้างในต่างประเทศ หากเกินกว่า 1 ปี ก็จะถือเป็นการออกไปลงทุนในต่างประเทศ เป็นต้น ทำให้การประเมินมูลค่าส่งออกบริการที่เกิดขึ้นในหลายกรณีต่ำกว่าความเป็นจริง

666

ร่วมแสดงความคิดเห็น