นั่งสามล้อ แอ่วคุ้มเจ้าหลวง (นครแพร่) สัมผัสความงามสถาปัตยกรรมเลอค่า

คุ้มเจ้าหลวง เป็นสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 5 ยุคต้น ซึ่งมีรูปทรงเป็นแบบสถาปัตยกรรมไทยผสมยุโรป หรือทรงขนมปังขิงหลังคามุงด้วยไม้ เรียกว่า “ไม้แป้นเกล็ด” ไม่มีหน้าจั่วเป็นแบบหลังคาเรือนปั้นหยา มีมุขสี่เหลี่ยมยื่นออกมาด้านหน้าของตัวอาคาร หลังคามุขมีรูปทรงสามเหลี่ยม ทั้งปั้นลมและชายคาน้ำรอบตัวอาคาร ประดับด้วยไม้แกะฉลุสลักลวดลายอย่างสวยงาม เป็นฝีมือช่างชาวจีนที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น มุขด้านหน้าตัวอาคารแต่เดิมมีบัน ไดขึ้นลงทั้ง 2 ด้าน คือด้านทิศเหนือและด้านทิศใต้ (ปัจจุบันรื้อออกแล้ว) คงเหลือบันไดขึ้นลงเฉพาะด้านหน้า และด้านหลังเท่านั้น ตัวอาคารสร้างด้วยอิฐถือปูน มี 2 ชั้น ไม่มีการฝังเสาเข็ม แต่ใช้ไม้ซุงท่อน ส่วนใหญ่เป็นไม้แก่น ไม้แดง และไม้เนื้อแข็ง รองรับฐานเสาทั้งหลัง
ภายใต้ตัวอาคารซึ่งสูงจากพื้นดินประมาณ 2 เมตร มีห้องสำหรับคุมขัง ข้าทาส บริวาร ซึ่งกระทำความผิด จำนวน 3 ห้อง ห้องกลางเป็นห้องทึบ แสงสว่างสาดส่องเข้าไปไม่ได้เลย ใช้เป็นที่คุมขังข้าทาสบริวาร ที่กระทำความผิดร้ายแรง ส่วนอีก 2 ห้อง ปีกซ้ายและปีกขวา มีช่องแสง ให้แสงสว่างเข้าไปได้บ้าง ใช้เป็นที่คุมขังผู้มีความผิดชั้นลหุโทษ เป็นเวลายาวนานกว่า 50 ปี จนกระทั่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ประกาศเลิกทาส คุกทาสจึงกลายมาเป็นที่คุมขังนักโทษทั่ว ๆ ไปของเจ้าหลวง หรือข้าหลวงในสมัยต่อ ๆ มา ต่อมามีการสร้างเรือนจำเมืองแพร่ขึ้นใหม่ คุกแห่งนี้จึงว่างลง หลงเหลือไว้เพียงตำนาน
คุ้มเจ้าหลวง สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2435 โดยเจ้าพิริยเทพวงษ์ คุ้มแห่งนี้เป็นอาคารโอ่โถง มีประตู หน้าต่างทั้งหมด 72 บาน งดงามด้วยลวดลายฉลุไม้อยู่ด้านบนปั้นลม และชายคาน้ำ เป็นสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 5 ยุคต้น ซึ่งมีรูปทรงเป็นแบบสถาปัตยกรรมไทยผสมยุโรป หรือทรงขนมปังขิง ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้น และจัดงานฉลองอย่างยิ่งใหญ่ในปีพ.ศ. 2435 คุ้มนี้งดงามใหญ่โตเพราะเงินคงคลัง ในสมัยพระยาพิมพิสารราชานั้นมีมาก ตกมาถึงรุ่นเจ้าพิริยเทพวงษ์ ผู้เป็นลูก จึงสามารถสร้างคุ้มใหม่หลังใหญ่ได้ แม้ว่าในปี พ.ศ. 2433 เป็นปีที่เมืองแพร่ฝนแล้ง ราษฎรทำนาได้หนึ่งส่วน เสียสี่ส่วนต้องเปิดคลังหลวงไปช่วยราษฎรก็ตาม แต่เมืองแพร่ยังมีเงินมากพอ ที่จะสร้างสถาปัตยกรรมงดงามล้ำค่าหลังนี้ขึ้นมาได้ในปี พ.ศ. 2445 ได้เกิดความไม่สงบขึ้นในเมืองนครแพร่ ทำให้เจ้าพิริยเทพวงษ์ ได้หลีภัยการเมืองไปอยู่เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว และไม่ได้มาอีกจนถึงพิราลัย สยามจึงได้ยึดราชสมบัติ และคุ้มของเจ้าหลวง และได้ใช้เป็นที่ตั้งของกองทหารม้าจากกรุงเทพฯ ที่ส่งมารักษาความสงบเรียบร้อยในเมืองแพร่ อยู่ระยะหนึ่ง
บริเวณตรงข้ามคุ้มเจ้าหลวง เคยมีคอกม้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เมื่อปี พ.ศ. 2454 พระยานิกรกิตติการ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่คนที่ 4 ได้ย้ายโรงเรียนตัวอย่างเมืองแพร่ โรงเรียนหนังสือไทย ตัวอย่างตามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มาตั้งอยู่ตรงข้ามคุ้มเจ้าหลวง โดยโรงเรียนนี้เมื่อแรกก่อตั้งพระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานนามว่า “โรงเรียนเทพวงษ์” ตามนามของเจ้าพิริยเทพวงษ์ ผู้ริเริ่มก่อตั้งโรงเรียน เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2443 ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 เมื่ออาคารเรียนไม้สักสร้างแล้วเสร็จ ซึ่งได้รับความร่วมมือร่วมใจจากมหาชนชาวเมืองแพร่ทุกหมู่เหล่าเป็นอย่างดีและได้รับบริจาคไม้สัก 100 ท่อน จากพระยาบุรีรัตน์ คุ้มวงศ์บุรี กรมที่ปรึกษาโรงเรียนตัวอย่างเมืองแพร่
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานนามใหม่ว่า “โรงเรียนพิริยาลัย” ลงวันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2456 เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ เจ้าหลวงนครแพร่ องค์สุดท้ายและเป็นพระบรมราชานุสรณ์ แห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 แต่ต่อมาโรงเรียนก็ได้ย้ายไปอยู่ที่ ถนนยันตรกิจโกศล คือ โรงเรียนพิริยาลัยจังหวัดแพร่ในปัจจุบัน ส่วนคุ้มเจ้าหลวงก็กลายเป็นจวนหรือบ้านพักของผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ จนเมื่อ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ได้มอบให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ดูแล มีการจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ขึ้นจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ คุ้มเจ้าหลวง หลังนี้ยังเคยใช้เป็นที่ประทับแรมของ พระบาทสม เด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อคราวที่เสด็จมาเยี่ยมเยียนราษฎรจังหวัดแพร่ ในระหว่างวันที่ 15 – 17 มีนาคม พ.ศ. 2501 และได้รับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้เป็นสถาปัตยกรรมดีเด่นประเภทอาคารสถาบัน และสาธารณะ ประจำปี 2540 อาคารคุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ ตั้งอยู่ในบริเวณจวนผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ถนนคุ้มเดิม ปัจจุบัน เปิดให้เป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป เข้าชมเพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา โดยไม่เสียค่าเข้าชม ตั้งแต่เวลา 8.00-16.00 น.

ร่วมแสดงความคิดเห็น