74510

เตือนภัยกรณีการผูกบัญชีธนาคาร บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ชำระค่าสินค้า

ตำรวจไซเบอร์ ฝากเตือนภัยกรณีการผูกบัญชีธนาคาร บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ไว้ชำระค่าสินค้า พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ขอประชาสัมพันธ์เตือนภัยกรณีการผูกบัญชีธนาคาร บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ไว้ชำระค่าสินค้ากับแอปพลิเคชันต่างๆ รวมถึงระมัดระวังการกรอกข้อมูลทางการเงินผ่านเว็บไซต์ปลอม หรือแอปพลิเคชันปลอมจากกรณีที่สื่อสังคมออนไลน์ได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับมีผู้เสียหายผูกบัญชีธนาคารไว้กับแอปพลิเคชันขายของออนไลน์ ต่อมาทราบว่าเงินในบัญชีถูกนำไปชำระค่าสินค้าหลายรายการ ความเสียหายกว่า 50,000 บาท โดยไม่ทราบสาเหตุนั้น กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งให้ความสำคัญและมีความห่วงใยต่อภัยการหลอกลวงผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการการทำธุรกรรมการเงินออนไลน์ และการซื้อขายของออนไลน์ โดยได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งวางมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่องและจริงจัง พร้อมสร้างการรับรู้แนวทางป้องกันให้ประชาชน ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 269/5 ผู้ใดใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการ ที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากมีการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ “โดยทุจริต […]

สุดฉาว! พบ พ.ต.ท. ขายข้อมูลแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ตำรวจไซเบอร์ จับพันตำรวจโท และเจ้าที่กระทรวงพาณิชย์ ขายข้อมูลคนไทยให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รอง ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ผบช.สอท.) ร่วมกันเปิดเผยกรณีตรวจพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐให้ข้อมูลส่วนบุคคล กับขบวนการคอลเซ็นเตอร์ โดยได้มีการจับกุมดำเนินคดีไปแล้ว พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า หลังจากปฏิบัติการ “เด็ดปีกมังกร” จับเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาของ บช.สอท. สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 16 ราย เป็นกลุ่มรับจ้างเปิดบัญชีม้า 8 ราย กลุ่มรวบรวมบัญชีม้าเพื่อส่งต่อให้นายทุนชาวจีน 1 ราย และกลุ่มที่ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลผู้เสียหาย เพื่อนำไปใช้ในการหลอกลวง 2 ราย เจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกจับ รายแรก เป็นตำรวจ ยศ “พ.ต.ท.” พฤติการณ์ คือจะเข้ารหัสไปกดดูฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของผู้เสียหาย โดยพบว่าเข้าไปกดดูมากจนนับครั้งไม่ถ้วน ส่วนรายที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่างของกระทรวงแห่งหนึ่ง ย่านสนามบินน้ำ จะเข้าระบบไปล้วงข้อมูลการจดทะเบียนการค้า หรือตราธุรกิจของผู้เสียหาย ไปขายให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งจะดูข้อมูลว่าเหยื่อว่ารายใดมีฐานะร่ำรวย มีทุนจดทะเบียนทางธุรกิจด้วยเงินจำนวนมากแล้ว จึงนำข้อมูลไปขายให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์  โดยทั้ง 2 ราย จะมีรายได้จากการขายข้อมูลคนไทยด้วยกัน ให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน วันละ 20,000 บาท หรือเดือนละ 600,000 บาท ซึ่งทางธนาคารพบการเคลื่อนไหวของเงินจากบัญชีม้า เข้ามายังบัญชีของผู้ต้องหา จึงประสานตำรวจตรวจสอบ และนำไปสู่การจับกุมดังกล่าว อย่างไรก็ตาม […]

ตำรวจไซเบอร์ เปิดเผยผลการปฏิบัติระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

ตำรวจไซเบอร์ เปิดเผยผลการปฏิบัติระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ห้วง 10-25 ต.ค.65 จับกุมผู้ต้องหาได้กว่า 500 ราย และตรวจยึดของกลางได้เป็นจำนวนมาก พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษกกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ขอเรียนชี้แจงผลการปฏิบัติระดมกวาดล้างจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย เกี่ยวกับอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืน ยาเสพติด บุคคลตามหมายจับ และการรับจ้างเปิดบัญชีม้า ในห้วงวันที่ 10 – 25 ต.ค.65 ดังต่อไปนี้ ตามโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติด อาวุธปืน และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยกำชับให้หน่วยที่เกี่ยวข้องเร่งออกมาตรการควบคุม และปราบปรามอย่างต่อเนื่องให้มีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม รวมถึงแก้ไขปัญหาการรับจ้างเปิดบัญชีธนาคารให้มิจฉาชีพนำไปกระทำความผิด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดเร่งดำเนินการปรามปรามจับกุมผู้กระทำผิดในทุกมิติ รวมถึงขยายผลไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลักลอบจำหน่ายยาเสพติด อาวุธปืน บัญชีม้า และสิ่งของผิดกฎหมายผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ […]

ตร.เตือน! คิดก่อนพูด โพสต์ ละเมิดสิทธิระวังเจอคุก

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ขอฝากเตือนสติการโพสต์ข้อความ หรือการแสดงความคิดเห็นในโลกออนไลน์ และแนวทางในการแสดงความเห็นที่สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ดังต่อไปนี้ ด้วยในยุคปัจจุบันที่มีการพัฒนาของเทคโนโลยี ประชาชนนิยมใช้สื่อสังคมออนไลน์ผ่านช่องทางต่างๆกันอย่างแพร่หลาย ในการโพสต์ข้อความ แสดงความคิดเห็นด้วยวีดีโอ ภาพนิ่ง รวมถึงในกรณีตามที่ปรากฎเป็นข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ มีผู้ออกมาแสดงความคิดเห็นในหลายๆ เรื่อง ในหลายๆ มิติ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์โดยมีการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์โต้ตอบกันไปมาอย่างกว้างขวางซึ่งในบางครั้งอาจจะไปกระทบถึงสิทธิหรือละเมิดผู้อื่นตามความผิดของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มีความห่วงใยการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในทุกช่องทางต่างๆ ที่อาจไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น โดยขอให้ประชาชนใช้สติในการโพสต์ การแสดงความคิดเห็น หลีกเลี่ยงการกระทำในลักษณะที่อาจจะทำให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้รับความเสียหายกระทบต่อสิทธิเสรีภาพผู้อื่น หรือเสื่อมเสียชื่อเสียง หรือถูกเกลียดชัง ซึ่งคำที่หมิ่นประมาทนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้คำที่ก้าวร้าว หยาบคาย แม้เป็นคำพูดสุภาพก็อาจจะเป็นหมิ่นประมาทได้ สิ่งที่สำคัญ คือ ต้องเป็นการใส่ความผู้อื่นโดยยืนยันข้อเท็จจริง ทำให้บุคคลทั่วไปที่อ่านข้อความรู้ได้แน่นอนว่าหมายถึงผู้ใด แต่หากไม่มีการระบุชื่อ แต่บริบทสามารถบ่งบอกได้ว่าคือผู้ใด ก็สามารถใช้สิทธิฟ้องร้องได้ตามขั้นตอนกฎหมายได้ นอกจากนี้การแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นด้วยคลิปวีดีโอ ข้อความ หรือการใช้ภาพ ขอให้หลีกเลี่ยงการกระทำที่ไม่เป็นไป ตามเงื่อนไขของ ป.อาญา มาตรา 329 ดังนี้ 1.มีบุคคลที่สามและน่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง 2.ไม่ได้เพื่อป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเพื่อความเป็นธรรม […]

ตำรวจไซเบอร์-เอไอเอส เดินหน้าจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตำรวจไซเบอร์ – เอไอเอส เดินหน้า จับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ต่อเนื่อง ล่าสุด เจอแหล่งกบดานที่ จ.ชุมพร 5 ตุลาคม 2565 : จากการที่ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับทุกหน่วยงานในสังกัด ขับเคลื่อนนโยบายในการปราบปราม อาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยกำหนดให้การลดคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นนโยบายเร่งด่วน และที่ผ่านมากองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ร่วมกับ เอไอเอส จับกุมเครือข่าย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดและตรวจยึดเครื่อง GSM Gateways (Simbox) ซึ่ง เป็นเครื่องมือที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ในการกระทำความผิด เขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดชลบุรี ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.1 บช.สอท. ได้ทำการสืบสวนขยายผลจนกระทั่งทราบว่ามีการใช้เครื่อง GSM Gateways (Simbox) ในพื้นที่จังหวัดชุมพร ดังนั้นกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท , พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. สั่งการให้กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวน อาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 […]

ขยายผลทลายเครือข่ายคดีหลอกลงทุน Turtle Farm ยึดอีก 100 ล้าน

ตำรวจไซเบอร์ขยายผลทลายเครือข่ายคดีหลอกลงทุน Turtle Farm จับกุมผู้ต้องหาเพิ่มเติม – ตรวจยึดของกลางกว่า 100 ล้านบาท วันที่ 15 กันยายน 2565 เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข พร้อมด้วย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษณ์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง ผบก.สอท.3 และ นายปิยะ ศรีวิกะ ผู้อำนวยการกองคดี 2 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ร่วมกันแถลงข่าวการขยายผลการตรวจยึดจับกุม (เพิ่มเติม) ในคดีหลอกลงทุนฟาร์มเกษตร โครงการ Turtle farm ซึ่งมีผู้เสียหายกว่า 2,702 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 1,649,210,177.87 ล้านบาท โดยตำรวจไซเบอร์ […]

1 2